
ขอเล่าเบื้องหลังการเขียนคอลัมน์ให้พวกเราได้รับรู้
ช่วงแรกที่ผมเขียนคอลัมน์นี้หลังเหตุการณ์ 9/11 เกิดขึ้นไม่กี่วัน คุณเปลว สีเงิน ติดต่อผมเพื่อให้ผมเขียนคอลัมน์ประจำ อธิบายเหตุการณ์ 9/11 ผ่านสายตาคนที่เข้าใจคนอเมริกัน ไม่ใช่เพียงรายงานข่าวไปวันๆ ตอนแรกผมเขียน 7 วันต่อสัปดาห์ เป็นเวลาหลายเดือน ลดเหลือ 5 วัน และในที่สุด สัปดาห์ละครั้ง
คำแนะนำที่คุณเปลวสอนผมคือ ในวันที่เขียนคอลัมน์ จะต้องเขียนตามอารมณ์ที่เป็นอยู่ ถ้ารู้สึกโกรธก็ต้องเขียนแนวโกรธ ถ้ามีอารมณ์ขันก็
ต้องเขียนออกแนวขำๆ เพราะถ้าฝืนความรู้สึกจะเป็นการเขียนที่ทุกข์ทรมาน และใช้เวลานานกว่าปกติ
บอกเลยครับ ก่อนจะเขียนคอลัมน์ทุกครั้ง (ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม) จะต้องรู้สึกหนักใจ เพราะต้องคิดประเด็น ต้องคิดมุม และต้องคิดเรื่อง ระหว่างเขียนไม่ใช่ว่าจะราบรื่นนะครับ จะต้องเขียนต่อเนื่องให้ปะติดปะต่อเป็นเรื่องเป็นราว หลังเขียนเสร็จยังจะต้องย้อนกลับไปอ่านเพื่อตัดต่อหรือปรับให้ดีที่สุด คอลัมน์ที่แฟนคอลัมน์ได้อ่านอยู่ใช้เวลาเขียนและปรับเบ็ดเสร็จประมาณชั่วโมงครึ่งถึง 2 ชั่วโมงครับ
ก่อนเขียน นักเขียนทุกคนจะรู้สึก “หนัก” และทุกข์หน่อย เพราะต้องคิดประเด็น แต่พอเขียนเสร็จปุ๊บ ปรับแก้ปั๊บ ความรู้สึกจะโล่งทันที…. จนคอลัมน์ถัดไปที่ต้องเขียนและวัฏจักรเดิมจะหมุนเวียนอีกรอบ ซึ่งบางคนก็บอกว่า “ทำไปเพื่ออะไร? จะบ้าเหรอ?” ก็คงบ้าไปแล้วครับ เพราะใจรัก
วันไหนที่คิดประเด็นไม่แตกจะยิ่งทุกข์ทรมานเข้าไปใหญ่ Deadline ส่งใกล้เข้ามาทุกวินาที แต่เรายังไม่มีประเด็นเขียน หรือบางครั้งมีประเด็นที่อยากเขียน แต่อยู่ๆ มีเรื่องอื่นเข้ามาแย่งความสนใจเราไป เช่น เช้าวันก่อน หลังผมส่งลูกไปโรงเรียนเสร็จ ผมฟังรายการข่าวผ่านวิทยุ รายการที่ผมฟังเป็นประจำ เขากำลังรายงานเรื่องเหตุการณ์การปะทะระหว่างชาวบ้านกัมพูชากับเจ้าหน้าที่รัฐของไทย ที่ชาวบ้านถูกใช้เป็นแนวหน้าเพื่อกัมพูชาจะได้ฟ้องเราตามเวทีระดับนานาชาติต่างๆ (ขอมองบนครับ)
ผู้ดำเนินรายการหยิบยกเวทีต่างๆ ที่กัมพูชาไปฟ้อง และมีการบีบน้ำตาร้องไห้ระหว่างฟ้องเราด้วยซ้ำ อยู่ๆ ผู้ดำเนินรายการพูดว่า “อย่างเช่นสัปดาห์นี้เขาไปฟ้องเราที่ AIPA” ผมสะดุ้งสิครับ เพราะผมเคยเป็นเลขาธิการ AIPA ปี 2016-2019 จากประเด็นเดิมที่ผมอยากเขียนนั้น ผู้ดำเนินรายการคนนี้ส่งลูกบอลถึง Teen ผม ผมเลยได้ประเด็นเขียน รอดไปอีกหนึ่งสัปดาห์
สำหรับใครที่ไม่ทราบ AIPA ย่อมาจาก ASEAN Inter-Parliamentary Assembly หรือสมัชชารัฐสภาอาเซียน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าอาเซียนของเราจะมีสภา ไม่ได้หมายความว่า AIPA จะออกกฎหมายในนามของอาเซียนทั้งหมด เป็นสมัชชาที่สมาชิกสภาของทุกประเทศในอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น สส. สว. จะถูกเลือกตั้ง จะถูกแต่งตั้ง จะเป็นฝ่ายค้าน เป็นฝ่ายรัฐบาล ถ้าคุณเป็นสมาชิกสภาในอาเซียน คุณเป็นสมาชิก AIPA โดยอัตโนมัติ
ดังนั้น AIPA เป็นตัวแทนและดูแลสมาชิกสภาในอาเซียนกว่า 3,000 คน
ผมจะไม่เข้าไปลงลึกในรายละเอียดอะไรทั้งสิ้น แต่ที่ผู้ดำเนินรายการบอกว่าเขมรน่าจะใช้เวที AIPA ฟ้องเรานั้น เป็นเพราะตั้งแต่วันที่ 16-22 กันยายนนี้ เป็นการประชุมใหญ่ประจำปีของ AIPA ที่เรียกว่า AIPA General Assembly (GA) การประชุม GA จะพิจารณางบประจำปีของ AIPA จะพิจารณานโยบายและแนวปฏิบัติของ AIPA สำหรับปีที่ผ่านมาและปีข้างหน้า นอกจากนั้นจะแบ่งเป็นคณะกรรมาธิการด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และอื่นๆ ซึ่งแต่ละคณะมีสิทธิเสนอญัตติที่จะให้สมาชิกถกเถียง เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ตามสิทธิของแต่ละประเทศ ญัตติเหล่านี้จะเรียกว่า Resolutions
แต่สิ่งที่ต้องเข้าใจคือ Resolutions เหล่านี้ไม่มีกฎหมายรองรับอะไร และไม่มีมาตรการอะไร ต้องถูกบังคับใช้ Resolutions จะถูกนำเสนอไปตามหน่วยงานรัฐต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง (ถ้าผ่าน) ซึ่งหน่วยงานรัฐนั้นๆ ในประเทศนั้นๆ จะทำตาม จะสนใจ หรือแม้แต่จะอ่าน ไม่มีทางรู้ได้ครับ เพราะเขาไม่ต้องสนใจก็ได้
เวลาประเทศใดมีประเด็นอะไรร้อนๆ ที่อยากถกเถียง เขาจะใช้คณะกรรมาธิการการเมือง แต่ก่อนจะเป็นวาระ ทุกประเด็นจะต้องผ่านคณะกรรมาธิการ Executive Committee ที่มีประธานสภาฯ (หรือตัวแทน) พิจารณาและอนุมัติวาระการประชุมของ GA หัวใจของความเป็นอาเซียน (และ AIPA) คือทุกอย่างต้องเป็นเอกฉันท์ (หรือ Consensus) ข้อดีคือ ถ้าเอกฉันท์ แสดงว่าเรื่องนั้น ผ่านความเห็นชอบสมาชิกทุกคน แต่ข้อเสียของอาเซียน (และ AIPA) คือหลายครั้งสมาชิกจะหลบซ่อนอยู่หลังคำว่า “เอกฉันท์” คือไม่ปฏิเสธ แต่ไม่สนับสนุน และไม่แสดงตนอะไร ผัดออกไปให้ “ศึกษา” หรือ “หาข้อมูลเพิ่ม” ซึ่งเป็นวิธีสุภาพที่จะปฏิเสธ
เพราะคำว่าเอกฉันท์ แปลว่าทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องต้องเห็นพ้องกัน ไม่ใช่เสียงข้างมากครับ แต่ทุกคนต้องเห็นพ้องกัน
แต่ละคณะที่ร่วมประชุม AIPA GA จะนำด้วยประธานสภาฯ (หรือรองประธานฯ) และในจะคละไปด้วย สว.กับ สส. สำหรับใครที่คล่องตัวหน่อย อาจจะไปขณะที่รู้แน่ๆ ว่าจะมีการพูดคุยกันและมีประเด็นร้อน เช่น กรรมาธิการการเมือง เพราะต้องใช้ไหวพริบ ส่วนคณะอื่นเอาเข้าจริง พูดตามบทที่เจ้าหน้าที่เตรียมให้ก็ได้
ในยุคที่ผมเป็นเลขาฯ AIPA เป็นยุคที่สมาชิกสภาของเราเป็น สนช. เพราะเรายังไม่มีการเลือกตั้ง ผมขอพูดตรงๆ การเอาสมาชิก สนช. (ที่ผมสัมผัส ในขณะที่ผมต้องนั่ง) ไปเวทีต่างๆ ไม่ต่างจากเอาตุ๊กตาไปนั่งเก้าอี้หน้าป้าย “Thailand” แต่ไม่ใช่สมาชิก สนช.ทุกคนครับ อันนี้คือที่ผมสัมผัสและเห็นกับตา ผมเข้าใจว่าคณะอื่นๆ ตัวแทนที่มาจาก สนช.ทำหน้าที่ได้ดี
แต่ที่ผมสัมผัสและเห็นคือ ก้มหน้า นั่งเงียบ แต่จะมีชีวิตตอนถ่ายรูปกับป้าย “Thailand” จนทำให้บางครั้งผมต้องสะกิดเจ้าหน้าที่ไทยเรา ว่าบางประเด็นไทยเราควรจะพูดบ้าง ซึ่งเขาก็หนักใจเหมือนกัน เพราะเตรียมประเด็นให้แล้ว สะกิดก็แล้ว แต่ท่านเหล่านี้นั่งก้มหน้าอย่างเดียว ผมเลยต้องพูดบ้าง แต่ผมพูดเยอะไม่ได้ เพราะผมเป็นเลขาฯ พูดเข้าข้างประเทศใดประเทศหนึ่งไม่ได้ แต่ในฐานะคนไทยมันอดพูดไม่ได้ครับ
ผมอุ่นใจและดีใจหลังการเลือกตั้งช่วงปลายยุคของผม ที่มีคณะไทยที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นนักการเมืองร่วมคณะจริงจัง และดีใจที่ประธานสภาฯ เป็นปรมาจารย์ชื่อ ชวน หลีกภัย มาเป็นประธาน AIPA ช่วงนั้น เพราะทำให้รู้เลยว่ามีมืออาชีพและมีคนกล้าพูด ซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องเก่งภาษาครับ แต่กล้าพูดทั้งๆ ที่ภาษาอาจไม่คล่องก็ตาม ผมโล่งอกโล่งใจ ตอนที่มีนักการเมืองจริง ไม่ใช่ใครก็ไม่รู้ คิดว่าการเมืองง่าย ทำหน้าที่นักการเมือง ตอนที่มีคณะไทยมีคนการเมืองจริงเป็นคณะ ผมโล่งอก เพราะผมจะได้ทำงานเลขาฯ เต็มที่ โดยที่ไม่ต้องห่วงไทยแลนด์ เหมือนยุค สนช.ที่ตามใครไม่ทัน
ในครั้งนี้ผมเชื่อว่า ถึงแม้กัมพูชาจะพยายามใช้ทุกเวที บีบน้ำตาเรียกร้องความเห็นใจจากโลกภายนอกก็ตาม แต่ด้วยฝีมือคณะไทยที่มีนักการเมืองจริง (ถึงแม้จะมี สว.บ้างก็ตาม) คณะไทยของเราจะโต้ทัน และแก้เกมได้ดี เพราะผมบอกเลยว่าการยื่นญัตติไม่มีกฎหมายรองรับอะไร แต่ที่ใช้เวทีเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเวทีของ AIPA หรือ IPU (Inter-Parliamentary Union) เขารู้ทั้งรู้ว่าญัตติยื่นไปก็เท่านั้น แต่ที่ทำเพื่อสื่อภายในของเขาเอง ทำเพื่อจะได้โชว์ชาวบ้านและผู้มีอำนาจในพรรคและในรัฐบาล (ของเขา) ว่าเขาทำงาน
เหมือนในยุคผมที่ผู้แทนจากอินโดนีเซียจะหาเรื่องถกเถียงกับเมียนมาเรื่องโรฮีนจาให้ได้ ทั้งๆ ที่ปั่นป่วนและเกือบทำให้การประชุม AIPA GA ล่ม 3 ปีซ้อน เนื่องจากผมอยู่อินโดฯ ด้วย ผมเห็นแล้วว่าหลังจากที่เขาพยายามยื่นญัตติในที่ประชุม AIPA ทุกครั้ง พอเดินออกจากห้องปุ๊บ เขาขนนักข่าวอินโดฯ ไปสัมภาษณ์ทันที เลยเห็นกับตาว่าไม่ได้ทำเพื่ออุดมการณ์โรฮีนจา หรือหลักเกณฑ์ หลักการอะไร ทำเพื่อสร้างภาพให้ตัวเอง จนตอนนี้เขาได้เป็นรัฐมนตรีวัฒนธรรมอินโดนีเซียครับ
ครั้งนี้กัมพูชาไม่ต่างกัน จะบีบน้ำตา จะร้องไห้ระหว่างสุนทรพจน์ ผมรับรองเลยว่าคนในห้องไม่ฟัง เพราะเขาจะไม่พูดภาษาอังกฤษ เขาจะพูดภาษากัมพูชาผ่านล่ามอีกที แต่เขาไม่สนครับ เพราะเขาไม่พูดกับคนในที่ประชุม เขาพูดกับคนกัมพูชาและเจ้านายเพื่อเก็บคะแนน
อยากรู้ว่าคณะไทยของเราจะโต้เขาอย่างไร อย่างน้อยผมเชื่อว่าฝีมือคณะไทยยุคปัจจุบันดีกว่าคณะไทยในยุคผมที่มาจาก สนช.ครับ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
SEA Games แบบไทยๆ
คงไม่มีข่าวอะไรที่คนสนใจเท่ากับเรื่องผู้มีชื่อเสียง ผู้มีอำนาจหลายท่านมีรูปถ่ายกับเบน สมิธ ซึ่งถ้าโลกสวยเมื่อบุคคลเหล่านี้บอกว่าไม่รู้จักเขา เพียงถ่ายรูปเฉยๆ
ถ้าต้นไม้ล้มในป่าแล้วคนไม่ทำคอนเทนต์ ไม่ลงรูปลงโซเชียล…จะมีเสียงไหม?
“ต้นไม้ที่ล้มในป่าจะมีเสียงหรือไม่ หากไม่มีคนอยู่ในที่นั่น?” หรือเป็นภาษาอังกฤษคือ “If a tree falls in a forest and no-one is around to hear it, does it make a sound?”
'คำพูดเป็นนายเรา'ยังจริงไหม?
เรื่องการกลับลำของประธานาธิบดี Donald Trump เกี่ยวกับ Epstein Files ผมว่าตลกดี เพราะตั้งแต่เป็นประธานาธิบดี Trump พูดแล้วพูดอีกว่า
'Thailand. Taiwan? Thailand. Taiwan?' Ok, yes. Taiwan.'
วันนี้ขออนุญาตเขียนเรื่องที่คนไทยทุกคนที่เคยใช้ชีวิตในต่างแดนเจอทุกๆ คน ยิ่งต่างแดนที่เป็นเมืองฝรั่งๆ หน่อย ผมกล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่าคนไทย 100% ต้องเจอทุกคน
SNAP ดีหรือไม่ดี?
ในที่สุดท่าทีการยุติ Government Shutdown ในสหรัฐที่จะยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ อาจสิ้นสุดลงแล้ว ไม่ใช่เพราะความพยายาม หรือการประนีประนอม
Back to the Future…
กราบสวัสดีแฟนคอลัมน์ทุกท่านครับ ครั้งสุดท้ายที่เจอกันวันนี้ ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง เดี๋ยวผมค่อยเล่า วันนี้ขออนุญาตเป็นเรื่องเบาๆ ซึ่งหลายคนอาจบอกว่าไร้สาระ หรือน่าหมั่นไส้ก็ได้ แต่ขอสักวันละกัน

