ทหารรู้หน้าที่

ฟังคำพูดของ “บิ๊กกุ้ง” พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ ๒ แล้วสบายใจครับ

และอยากให้ประชาชน และนักการเมือง อย่าไปคิดเป็นตุเป็นตะว่า กองทัพ เป็นอิสระจากรัฐบาล จะทำอะไรก็ได้ไม่ต้องขอรัฐบาล

เป็นความคิดที่ผิดอย่างสิ้นเชิง

ในแง่การบริหารราชการแผ่นดิน นายกรัฐมนตรีคือเบอร์ ๑

ส่วนข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม คือผู้ปฏิบัติงานตามคำสั่งของรัฐบาล

รวมทั้งกองทัพ

ทหารมิได้เป็นองค์กรอิสระ ที่ไม่ต้องฟังคำสั่งรัฐบาล แต่ทหารคือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา

ที่ผ่านมามีคนอยากให้กองทัพเป็นเอกเทศ สามารถตัดสินใจกรณีข้อพิพาทไทย-กัมพูชา โดยไม่ต้องฟังคำสั่งรัฐบาล

ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ ดาบสองคม

จะกลายเป็นอำนาจซ้อนอำนาจ

เพียงแต่ที่ผ่านมารัฐบาลไม่เอาไหน ประชาชนไว้ใจกองทัพมากกว่า จึงอยากให้ทหารตัดสินใจแทน

วานนี้ (๒๖ กันยายน) “บิ๊กกุ้ง” ให้สัมภาษณ์ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ยังน่ากังวลครับ

นักข่าวถามถึงการปรากฏภาพเคลื่อนย้ายจรวดหลายลำกล้อง BM-21 เข้าพื้นที่ ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงหรือไม่

พลโท บุญสิน ตอบว่า...    

“...เป็นสิ่งบอกเหตุว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ในอนาคต เรื่องความขัดแย้งด้วยอาวุธ ซึ่งยอมรับว่าผิดข้อตกลงอยู่แล้ว ก็ประท้วงไป...”

“...เป็นการก่อกวนในช่วงที่จะมีการรับมอบตำแหน่งของแม่ทัพภาคที่ ๒ และตำแหน่งสำคัญอื่นๆ ในกองทัพ แต่เชื่อว่าคงไม่มีผล ซึ่งแม่ทัพภาคที่ ๒ คนใหม่ก็ทำหน้าที่อำนวยการยุทธ์ก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ซึ่งรู้ขั้นตอนการปฏิบัติอยู่แล้ว

ในขณะที่รัฐบาลชุดปัจจุบัน ก็เคยอยู่กับรัฐบาลเดิมอยู่แล้ว พร้อมเชื่อว่าจะไปต่อได้ ไม่มีปัญหา ซึ่งรอยต่อต่าง ๆ ไม่มีผลกระทบต่อไทย...”

นักข่าวถามว่า การตอบโต้เป็นอำนาจการตัดสินใจของทหาร หรือรัฐบาล

พลโท บุญสิน ตอบว่า

“ต้องเป็นการตัดสินใจร่วมกัน และต้องพิจารณาให้ครบถ้วนว่า ข้อดี ข้อเสีย ที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศชาติ และความมั่นคง รวมถึงสิ่งที่จะได้มาคุ้มค่า หรือไม่ ซึ่งหากการปะทะมีเหตุผลน้อย และไม่เพียงพอ อาจจะส่งผลเสียต่อประเทศชาติ แต่ถ้ามีเหตุผลเราก็พร้อมที่จะปกป้องอธิปไตย...”

ถามต่อว่าทหารมีอำนาจเต็มใช่หรือไม่

พลโท บุญสิน ตอบชัดถ้อยชัดคำว่า...

“...ถ้าเป็นเหตุการณ์ซึ่งหน้ามีอำนาจเต็มอยู่แล้ว...”

นักข่าวถามถึงกรณีนายกฯ อนุทิน ให้ทหารสามารถตัดสินใจได้ทันทีนั้น

พลโท บุญสิน ตอบว่า...

“...ถือเป็นเรื่องที่ดี และเป็นไปตามนั้นอยู่แล้ว

แต่ถ้าเป็นเรื่องสำคัญก็ต้องเข้าที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. โดยเฉพาะเรื่องที่กระทบกับความมั่นคงในภาพรวม เพราะการตัดสินใจฝ่ายเดียวอาจจะสูญเสียบางอย่าง...”

ถูกต้องครับ เหตุการณ์เฉพาะหน้ามัวแต่ขออนุญาต จะเกิดความสูญเสียกับทหารอย่างที่ไม่ควรจะเกิด

การเปิด-ปิด ชายแดน มาตรการด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ รัฐบาลต้องเข้าไปรับผิดชอบด้วย อาจจะผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรืออะไรก็ว่าไป เพราะรัฐบาลเองต้องรับผิดชอบต่อประชาชน

หากไปไกลกว่านั้นคือการประกาศสงคราม ทหารตัดสินใจเองไม่ได้ เพราะจะเป็นการกระทำที่ผิดรัฐธรรมนูญทันที บรรดาแม่ทัพนายกองจะรับผิดชอบกันไม่ไหว

การประกาศสงครามเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๗ ที่บัญญัติว่า...

“...พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศสงครามเมื่อได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา        

มติให้ความเห็นชอบของรัฐสภาต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา...”

ฉะนั้นทหารจะไปประกาศสงครามโดยพลการมิได้เด็ดขาด

เหตุที่รัฐธรรมนูญกำหนดเช่นนี้เป็นเพราะการพาประเทศเข้าสู่สงครามกับต่างชาติ ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและสวัสดิภาพตลอดจนความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและของพลเมือง รวมทั้งผลประโยชน์ของชาติ จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อประเทศชาติโดยรวม

ประชาชนทุกคนจะได้รับผลกระทบรุนแรง

ดังนั้น รัฐธรรมนูญแทบทุกฉบับที่ผ่านมาจึงได้กำหนดให้การประกาศสงครามทุกระดับและทุกกรณี เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขของประเทศ

แต่...ขีดเส้นใต้สิบเส้น ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาเสียก่อน

หมายถึงความรับผิดชอบจะอยู่ที่สมาชิกรัฐสภา

การประกาศสงครามเป็นเรื่องใหญ่ จำต้องมีการไตร่ตรองใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบคอบที่สุด

จะสังเกตเห็นว่าแม้แต่มติให้ความเห็นชอบของรัฐสภาให้ประกาศสงคราม ยังต้องใช้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

ครับ...เผื่อยังมีใครเข้าใจผิดคิดว่ากองทัพสามารถประกาศทำสงครามกับกัมพูชาได้โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา หรือไม่ต้องคุยกับรัฐบาล

สถานการณ์ไทย-กัมพูชา หลังจากนี้อาจมีความรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง หรือไม่มีอีกเลยก็ได้ การเฝ้าระวังตามแนวชายแดนจึงยังเป็นเรื่องสำคัญ

หากมีเหตุปะทะทหารตัดสินใจตอบโต้ได้ทันที

ขณะที่ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายรัฐบาลของไทย ยังคงจำเป็นต้องยืนหยัดในแนวทางเดิม หากฝ่ายกัมพูชายังท้าทายอยู่แบบนี้ การปิดด่าน การตัดความช่วยเหลือต้องดำเนินต่อไป

อาจไปไกลถึงการล้มระบอบฮุน เซน

เพราะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ระบอบฮุน เซน เป็นภัยคุกคามของไทย

สรุปเรามีแม่ทัพที่เข้าใจโครงสร้างการทำงานระหว่าง กองทัพ สมช. และรัฐบาล

ที่ต้องยกเรื่องนี้มาพูดคุยเพราะ พรรคส้ม เริ่มจะออกอาการงอแง คิดว่ากองทัพกำลังทำตัวเป็นรัฐอิสระ ไม่ขึ้นตรงกับรัฐบาล

เอาไปวิจารณ์เป็นตุเป็นตะว่ามีรัฐซ้อนรัฐ

กองทัพไม่รู้บทบาทตัวเอง

เลอะเทอะครับ

เพราะทัศนคติที่เป็นลบกับกองทัพมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ทำให้พรรคส้มมิได้มองปัญหาอย่างรอบด้าน

แม้กระทั่งปัญหาการเมืองพรรคส้มยังมองว่ามีต้นตอมาจากกองทัพ

รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ก็เป็นของกองทัพ ที่เป็นเผด็จการ

ติดหล่มหลุมลึกยิ่งกว่าหลุมหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล

มีพรรคส้มไว้ทำไม?

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แบบนี้เป็นใจให้ไทย

เริ่มเห็นเค้า... มีสัญญาณบางอย่างบ่งบอกว่างานนี้ “เขมร” จะซวยหนัก! หลังจาก “ตาเฒ่าทรัมป์” ขู่จะดำเนินการเอาผิดกับผู้กระทำผิดตามความจำเป็น อ้างว่าเพื่อยุติการสังหารและสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างไทย-กัมพูชา ไปตั้งแต่วันที่ ๑๔ ธันวาคม

รบไทยในมุมเขมร

อะไรคือเหตุให้การสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชาปะทุขึ้นมาอีกรอบ

เผด็จการสีส้ม

เป็นไงครับ... มีเทาไม่มีเรา ศาลพิพากษาจำคุก ๒ ปี อดีต สส.ลักแกง ใช้ สด.๔๓ ปลอม บัดซบ!

อยากลองเป็นรัฐบาล

ยังจำขึ้นใจในวันที่ พรรคส้ม โหวตเลือก "อนุทิน ชาญวีรกูล" เป็นนายกรัฐมนตรี วันนั้น "หัวหน้าเท้ง" บอกว่า... "...วันนี้ไม่ได้เลือกคุณอนุทินมาบริหารประเทศ