
นักกฎหมายใหญ่เดี๋ยวนี้มั่วกันเยอะ
เรื่องคือว่า มีการตั้งประเด็นรัฐบาลยังไม่แถลงนโยบาย แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ไปโผล่ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ครั้งที่ ๘๐ (UNGA80) ได้ไง
แบบนี้ขัดรัฐธรรมนูญ
เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดว่า รัฐบาลต้องแถลงนโยบายก่อนถึงจะบริหารราชการแผ่นดินได้
รัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๖๒ มี ๒ วรรคครับ
"...คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาซึ่งต้องสอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายแห่งรัฐ และยุทธศาสตร์ชาติ และต้องชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบาย โดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ ทั้งนี้ ภายในสิบห้าวันนับแต่วันเข้ารับหน้าที่
ก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามวรรคหนึ่ง หากมีกรณีที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะกระทบต่อประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีที่เข้ารับหน้าที่จะดำเนินการไปพลางก่อนเพียงเท่าที่จำเป็นก็ได้...”
ดูตรงวรรคสอง กรณีจำเป็นเร่งด่วนให้จัดการไปก่อนเลย ไม่ต้องรอการแถลงนโยบาย
ฉะนั้นไม่ผิดหรอกครับ
เพราะ “สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” ไปประจานเขมรที่ยูเอ็น
เรื่องนี้เร่งด่วน ทางเขมรส่งรัฐมนตรีต่างประเทศไปยูเอ็น หวังใช้โลกล้อมไทย
ถ้ารัฐบาลไทยไม่ส่งตัวแทนไป เพราะกลัวจะทำขัดรัฐธรรมนูญ เขมรคงแฮปปี้ได้ด่าฝ่ายเดียว
นักกฎหมายใหญ่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรครับ แต่รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อประชาชน เมื่อรัฐธรรมนูญเปิดช่องให้ไป ก็ต้องไป
และเพราะ “สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” ไปในสื่อโซเชียลถึงได้ร้อนฉ่า
เอาเข้าจริงปัญหาไทย-กัมพูชา เป็นเรื่องเล็กที่ในเวทีโลกให้ความสนใจน้อยมาก เพราะทุกสายตาโฟกัสไปที่ อิสราเอล-ปาเลสไตน์ กับ รัสเซีย-ยูเครน
แต่ถ้าไทยไม่ทำอะไรเลย ปล่อยเขมรฟ้องอยู่ฝ่ายเดียว ก็ไม่เป็นผลดีกับเราในระยะยาว
การที่ไทยตอกเขมรหน้าหงายกลางที่ประชุมยูเอ็น จะยิ่งทำให้ขแมร์การละครไร้เครดิตในสายตาชาวโลก
สุนทรพจน์ของ “สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” ถูกพูดถึงกันมาก
"...แม้ผมจะเพิ่งเข้ารับตำแหนงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่รัฐบาลไทยก็ได้ให้ความสำคัญต่อการมอบหมายให้ผมเดินทางมาเข้าร่วมการประชุมในวันนี้ เพราะเราเชื่อว่าช่วงเวลานี้สำคัญยิ่ง เนื่องจากการครบรอบ ๘๐ ปีของสหประชาชาติ เป็นช่วงเวลาที่สหประชาชาติกำลังเผชิญความท้าทายสำคัญ..."
"...สงครามในยูเครนซึ่งยืดเยื้อมาถึงปีที่สาม ยังคงสร้างความทุกข์ทรมานและความเสียหาย เช่นเดียวกับความทุกข์ทรมานอันแสนสาหัสในกาซาที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะเด็ก ที่ได้รับผลกระทบร้ายแรงที่สุดนั้น ได้สร้างความเศร้าสลดต่อจิตสำนึกต่อส่วนรวมของเราอย่างยิ่ง อันเป็นเครื่องเตือนใจว่า เมื่อสันติภาพถูกทำลาย ความสูญเสียจะไม่ได้ตกอยู่กับประเทศต่างๆ เพียงเท่านั้น แต่ยังตกอยูกับประชาชนธรรมดาที่ชีวิตต้องถูกทำลาย..."
"...อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ระหว่างเพื่อนบ้านด้วยกัน สถานการณ์ในเมียนมายังคงน่าห่วงกังวลอย่างยิ่ง โดยประเทศไทยได้ทำหน้าที่ของเราด้วยการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมตามแนวชายแดน และยังคงสนับสนุนให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการเจรจาและมุ่งสู่กระบวนการสันติภาพที่ยั่งยืน ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญที่จะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนในเมียนมา..."
"...แม้แต่ในประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดที่สุด ความขัดแย้งระหว่างกันก็สามารถเกิดขึ้นได้ โดยต้องยอมรับว่า สถานการณ์กับกัมพูชาในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นที่พึงประสงค์หรือเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย โดยสันติภาพความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรืองของเราล้วนมีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างใกล้ชิด เราไม่อาจแยกออกจากกันได้ เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอาเซียนเดียวกัน..."
"...เช้าวันนี้ ผมตั้งใจที่จะกล่าวในประเด็นที่ต่างจากนี้และในเชิงบวกที่สะท้อนถึงความหวังสำหรับอนาคต แต่ผมจำเป็นต้องแก้ไขถ้อยแถลงนี้ใหม่เพราะคำกล่าวที่น่าผิดหวังโดยเพื่อนกัมพูชาของผม เป็นที่น่าเสียใจว่ากัมพูชายังคงสร้างภาพให้ตนเป็นผู้ถูกกระทำ กัมพูชาได้ให้ข้อเท็จจริงในแบบฉบับของตนที่ไม่สามารถยืนยันได้เมื่อถูกตรวจสอบครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งก็เป็นเพราะว่าสิ่งที่กล่าวเป็นการบิดเบือนความจริง..."
"...เราต่างรู้ว่าใครคือผู้ถูกกระทำที่แท้จริง ผู้ถูกกระทำที่แท้จริงคือ ทหารไทยที่ต้องสูญเสียขาจากทุ่นระเบิด คือเด็กๆ ที่โรงเรียนถูกโจมตี และประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่กำลังจับจ่ายซื้อของในวันนั้นที่ร้านสะดวกซื้อที่ถูกโจมตีจากจรวดของฝ่ายกัมพูชา..."
"...เมื่อวานนี้ผมได้พบกับเพื่อนกัมพูชาที่สหประชาชาติแห่งนี้ เราได้พูดคุยกันในเรื่องสันติภาพ การเจรจา ความไว้ใจ และความเชื่อมั่น ประเด็นเหล่านี้ได้รับการยืนยันในการหารืออย่างไม่เป็นทางการสี่ฝ่าย จัดโดยสหรัฐอเมริกา เราขอขอบคุณประธานาธิบดีทรัมป์สำหรับความมุ่งมั่นต่อสันติภาพของท่าน..."
"...แต่เป็นที่น่าเสียใจว่า คำกล่าวของกัมพูชาในวันนี้ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับคำกล่าวในการหารือเมื่อวาน โดยคำกล่าวของกัมพูชาได้แสดงให้เห็นถึงเจตนาที่แท้จริงของเขา คำกล่าวหาของกัมพูชานั้นเป็นสิ่งที่คลาดเคลื่อนอย่างมาก จนทำให้ความจริงดูเหมือนเป็นเรื่องตลก..."
"...ตั้งแต่เริ่มแรก กัมพูชาเป็นผู้ริเริ่มความขัดแย้ง ด้วยความตั้งใจที่จะขยายข้อพิพาทชายแดนไปสู่ความขัดแย้งระดับชาติ และทำให้เป็นประเด็นระหว่างประเทศ ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าวันนี้..."
"...หมู่บ้านที่กัมพูชาอ้างถึงในคำกล่าวก่อนหน้านี้ตั้งอยู่ในเขตแดนของประเทศไทย โดยตามข้อเท็จจริง หมู่บ้านเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะประเทศไทยได้ตัดสินใจด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม ที่จะเปิดชายแดนในช่วงปลายทศวรรษ ๑๙๗๐ เพื่อให้ประชาชนหลายแสนคนได้หลบหนีจากสงครามกลางเมืองและมีที่พักพิงในประเทศไทย เราได้ตัดสินใจบนหลักการของความเมตตาและมนุษยธรรม ผมได้เห็นภาพดังกล่าวด้วยตนเอง เมื่อครั้งผมยังเป็นเพียงนักการทูตผู้น้อย..."
"...แม้ว่าสงครามกลางเมืองได้สิ้นสุด และที่พักพิงได้ปิดตัวลง แต่หมู่บ้านของกัมพูชายังคงขยายขอบเขตตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา และแม้ว่าประเทศไทยได้พยายามที่จะประท้วงอย่างต่อเนื่อง แต่ฝ่ายกัมพูชายังคงเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องที่จะจัดการกับปัญหาการบุกรุกดังกล่าว..."
"...เมื่อสันติภาพกลับคืนสู่กัมพูชาภายหลังจากข้อตกลงสันติภาพปารีส ค.ศ. ๑๙๙๑ ประเทศไทยได้ช่วย สร้างและฟื้นฟูให้กัมพูชาสามารถรักษาสันติภาพของชาติตนได้ เราได้ช่วยสร้างบ้านเรือน ถนน และโรงพยาบาล เพราะว่าสันติภาพของกัมพูชานั้นเป็นผลประโยชน์ของไทยด้วยเช่นกัน และนี่คือสิ่งที่ประเทศเพื่อนบ้านควรทำเพื่อกันและกัน ท่านประธานสมัชชาฯ..."
"...ข้อตกลงหยุดยิงยังคงเปราะบาง เราจำเป็นต้องทำให้ข้อตกลงนี้เกิดผล ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความมุ่งมั่นและการกระทำที่จริงใจจากทั้งสองฝ่าย..."
"...เป็นที่น่าเสียใจว่า กัมพูชายังคงยั่วยุอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการระดมพลเรือนเข้ามาในเขตแดนของไทยและยิงเข้ามาทางฝั่งของเรา ถือเป็นการบ่อนทำลายสันติภาพและความมั่นคงตามแนวชายแดน ผมหมายความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๘ ที่กองกำลังกัมพูชาได้ยิงใส่กองกำลังไทยที่ประจำอยู่บริเวณชายแดน โดยเหตุการณ์ล่าสุดเกิดขึ้นในวันนี้ กองกำลังไทยยังได้ตรวจพบโดรนลาดตระเวนของฝ่ายกัมพูชาที่บุกรุกเข้ามาดินแดนไทยทุกวันบริเวณชายแดน การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และข้อตกลงหยุดยิงที่ได้เห็นชอบร่วมกันในการประชุมสมัยพิเศษที่เมืองปุตราจายา มาเลเซีย และได้รับการยืนยันอีกครั้งในการประชุมคณะกรรมการชายแดนระดับทวิภาคี..."
"...ในวันนี้ประเทศของเราทั้งสองต้องตัดสินใจเลือกเส้นทาง ในฐานะที่เราเป็นเพื่อนบ้านและมิตรกัน ประเทศไทยขอถามกัมพูชาว่าจะเลือกเส้นทางใด เส้นทางของการเผชิญหน้า หรือเส้นทางของสันติภาพและความร่วมมือ
ประเทศไทยขอเลือกเส้นทางแห่งสันติภาพ เพราะเราเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ประชาชนของทั้งสองประเทศสมควรได้รับ แต่เราก็ยังมีข้อสงสัยว่ากัมพูชาตั้งใจที่จะร่วมมือกับเราในการมุ่งสู่สันติภาพหรือไม่..."
"...สำหรับประเทศไทย การเจรจา ความไว้วางใจ และความสุจริตใจ ไม่ใช่เป็นเพียงคำพูด แต่คือหนทางในการเดินต่อไปภายหน้า เราจะยังคงยึดมั่นในหลักการเหล่านี้ในการดำเนินความสัมพันธ์กับหุ้นส่วนต่างๆ ทั้งในอาเซียนและนอกเหนือออกไป รวมถึงมหาอำนาจต่างๆ เพื่อมุ่งสู่การมีสันติภาพที่ยั่งยืนและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน..."
ครับ... ต่างจาก “ปรัก สุคน” รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ที่ก้มหน้าก้มตาอ่านคำแถลงเหมือนถูกบังคับให้พูด พร้อมกับบีบน้ำตา
ชาวโลกฉลาดพอสามารถแยกแยะได้ว่า ใครพูดจริง ใครเป็นฝ่ายสูญเสียพลเรือน เด็ก สตรี ใครที่ต้องโศกเศร้ากับเหตุการณ์นี้
เขมรก็แค่ตัวตลกในเวทีประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทำไมไม่ยึดยุค 'อุ๊งอิ๊ง'
เขย่าพอหอมปากหอมคอ “เบน สมิธ” ชื่อนี้ตอนนี้ เหม็นยิ่งกว่าขี้ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้
'เพื่อไทย' ไม่ไปต่อ
พรรคเพื่อไทยจะยื่นซักฟอกรัฐบาลหรือไม่? คำถามนี้เกิดจากคำตอบของนายกฯ อนุทิน วานนี้ (๓ ธันวาคม) "...คาดเข็มขัดนิรภัย..."
รอวันส้มเป็นรัฐบาล
ราคาคุยเยอะจริงๆ... ไม่มีพรรคไหนเก่งไปกว่าพรรคส้มแล้วครับ ไม่ได้ประชด แต่ตามรูปการณ์มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
พันศพ! เละเป็นโจ๊ก
กู่ไม่กลับ... "บิ๊กโจ๊ก" กำลังจะเละเป็นโจ๊ก ไม่รู้ไปเอาข้อมูลมาจากไหนว่า มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ จำนวนมากเกินหลักพัน เน้นนะครับ เฉพาะที่หาดใหญ่
ปรากฏการณ์อภิสิทธิ์
นั่นไง.... บอกแล้วว่าอย่าประมาท “ปรากฏการณ์อภิสิทธิ์” วานนี้ (๓๐ พฤศจิกายน)
ควรโทษใครดี
น้ำท่วมว่าหนักแล้ว น้ำท่วมใจยังหนักกว่า ช่วยชาวบ้านเป็นเรื่องดีครับ แต่ช่วยไปช่วงชิงกันไป เที่ยวไปประกาศว่าช่วยได้กี่คนแล้ว บลั๊ฟกันไปมามันน่าอนาถจริงๆ


