ถ้าต้นไม้ล้มในป่าแล้วคนไม่ทำคอนเทนต์ ไม่ลงรูปลงโซเชียล…จะมีเสียงไหม?

“ต้นไม้ที่ล้มในป่าจะมีเสียงหรือไม่ หากไม่มีคนอยู่ในที่นั่น?” หรือเป็นภาษาอังกฤษคือ “If a tree falls in a forest and no-one is around to hear it, does it make a sound?”

ฟังครั้งแรกๆ ดูเป็นคำถามยียวน กวนๆ และปวดกระบาล เพราะอย่างไรมันก็ต้องมีเสียงอยู่แล้ว ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์ มันมีเสียงแน่ๆ แต่แนวปรัชญามองว่า ต่อเมื่อไม่มีใครอยู่แถวนั้น มันไม่มีเสียงอะไร เพราะเสียงในความหมายแนวปรัชญานั้น คำว่า “เสียง” ต้องมีคนหรือสิ่งมีชีวิต “ได้ยิน” และ/หรือ สัมผัส

ฟังดูหาเรื่องใช่ไหมครับ?

แต่ก็ไม่หาเรื่องเท่าไหร่ เพราะถ้าตีความว่า “เสียง” ออกแนววิทยาศาสตร์ล้วนๆ เสียงคือเสียง และจะมีเสียงตลอดเวลา ถึงแม้จะไม่มีใครสัมผัสใกล้ก็ตาม แต่เมื่อ “เสียง” ออกแนวปรัชญา อันนี้ต้องคิดหน่อย เพราะ “เสียง” ในแนวปรัชญานั้นมันขึ้นอยู่กับบริบทและการสัมผัสของมนุษย์ (หรือสิ่งมีชีวิต) ยิ่งเฉพาะการสัมผัสของเราโดยตรง ถ้าแบ่งชีวิตและโลกออกแนวปรัชญา จะเห็นได้ชัดว่าชีวิตพวกเราจะมีสีสันและชีวิตชีวาต่อเมื่อเราสัมผัสมันได้ ไม่ว่าจะเป็นเสียง กลิ่น รสชาติ สีสัน หรือการสัมผัสผ่านนิ้ว สิ่งเหล่านี้ทำให้โลกมีชีวิต ถ้าเราไม่มีการสัมผัสเลย โลกจะไร้สีสัน กลิ่น เสียง และรสชาติ ทุกอย่างจะเป็นสีเทาและจืด จะไม่มี “ชีวิต” อะไรใดๆ ทั้งสิ้น

ดังนั้นถ้าจะตอบคำถามนี้แบบไม่คิดอะไร เมื่อต้นไม้ล้มในป่า และไม่มีคนอยู่ในนั้น ยังไงก็ต้องมีเสียงอยู่ เพราะตามหลักวิทยาศาสตร์มันมีเสียงอยู่แล้ว แต่ถ้าคิดลึกลงไป เมื่อไม่มีใครอยู่ในนั้น จะรู้ได้ยังไงว่ามีเสียงหรือไม่? เพราะไม่มีใครสัมผัส คำถามนี้ไม่มีคำตอบครับ ถึงแม้ดูเหมือนมีคำตอบที่ง่ายก็ตาม

ผมขอใช้แนวความคิดนี้เข้ากับโลกปัจจุบันของเรา

สมมุติว่าใครจะทำอะไรบางอย่าง เช่น ช่วยผู้ประสบภัยพิบัติ ช่วยเหลือสังคม แต่เขาไม่โพสต์ลงโซเชียล ไม่ทำข่าว ทำแบบเงียบๆ ทำด้วยใจและทำด้วยความตั้งใจ ช่วยเหลือคนจริงๆ คนอื่นจะรู้ไหม? ถ้าเผื่อเขาไม่มีรูป แค่บอกคนต่อๆ กันเมื่อมีใครถาม?

ถ้าออกมาแนวความจริง ในโลกแห่งความจริง ความช่วยเหลือที่ตั้งใจทำ ก็คือความช่วยเหลือจริงๆ ทำจากใจ ทำด้วยใจ ช่วยคนได้ ไม่หวังให้คนปรบมือ ไม่หวังให้คนยกย่อง ทำเพราะอยากทำ อันนี้ไม่ควรจะเรียกร้องอะไร ไม่ได้ทวงบุญคุณอะไร แต่ที่จะถามคือ ถ้าตั้งใจทำแล้วไม่โพสต์ และอยู่ๆ คนทั่วไปต่อว่า เพราะไม่เห็นลงโซเชียล ไม่เห็นรูป ไม่เห็นโพสต์เหมือนคนอื่น อย่างนี้ควรจะรู้สึกอย่างไร?

โลกปัจจุบันเป็นโลกที่โซเชียลมาแรง โซเชียลมีเดียเป็นดาบสองคม และถือว่าเป็นดาบสังคม โซเชียลมีเดียสามารถสร้างให้เทวดาเป็นปีศาจได้ ในขณะเดียวกันเป็นเครื่องมือให้ปีศาจดูเป็นพระเจ้าได้

ผมไม่แน่ใจว่าการสร้างภาพในยุคก่อนๆ มันง่ายขนาดนี้ไหม แต่ในยุคนี้มันโคตรง่าย ถ้าย้อนกลับไปยุคที่พวกเราเรียนหนังสือกัน ในห้องเรียนทุกห้องมักจะมีกลุ่มคนที่ยังไงๆ เราไม่มีวันคบกับเขา ไม่มีวันจะเป็นเพื่อนกับเขาได้ ด้วยนิสัยที่เข้ากันไม่ได้ หรือด้วยนิสัยเราที่ไม่เข้าตาเขา อะไรก็แล้วแต่ มันจะมีกลุ่มคนที่เราไม่อยากคบ ไม่อยากคุย

แต่ถ้าอยู่ๆ คนเหล่านั้นดันใช้โซเชียลมีเดียเป็นในชีวิตจริง จากคนคบไม่ได้ แต่พอโพสต์ คนนอกที่ไม่รู้จักดันชื่นชอบและยกย่อง เพราะสร้างภาพ ผมไม่มีคำอธิบายที่จะรู้สึกรำคาญมากไปกว่านั้น อย่าว่าแต่ในช่วงเรียนหนังสือ ชีวิตปัจจุบันของพวกเรา ในที่ทำงาน พอสัมผัสตัวจริง เรารู้ว่าเขาเป็นอย่างไร แต่เมื่อเขาโพสต์สร้างภาพ เขากลายเป็นอีกคน

ผมเลยไม่รู้ว่าโซเชียลมีเดียเป็นประโยชน์หรือเป็นพิษให้กับสังคม เพราะในแง่ดี เป็นการเผยแพร่และแชร์ข้อมูลได้ดีที่สุด สิ่งที่เราไม่เคยรู้ สิ่งที่เราไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัส เราได้สัมผัสแล้ว แต่ในแง่ลบมีเยอะครับ โลกโซเชียลกลายเป็นโลกที่ Fake และเป็นโลกที่สร้างขึ้นมาตามเจตนาและความต้องการของเรา

ถ้าผมอยากสร้างภาพว่าผมเป็นคนดี ใจบุญ ผมก็ทำคอนเทนต์เข้าวัดบ่อยๆ ตักบาตร ทำบุญ สวดมนต์ ทำไปเรื่อยๆ Boost คนดูโพสต์ไป ไม่นานผมก็จะมีภาพคนดี ใจบุญ และสิ่งที่น่ากลัวสำหรับโลกโซเชียลในยุคปัจจุบันคือ มีคนจำนวนไม่น้อยพร้อมหลงเชื่อกับสิ่งที่คนอื่นโพสต์และสร้างเสมอ

ถือว่าเป็นวิถีชีวิตโลกปัจจุบันกันและกัน ผมไม่ใช่คนหัวโบราณที่จะบอกว่าเราต้องย้อนกลับไปยุคไม่มีโซเชียล ที่ทุกคนทำด้วยใจโดยไม่หวังให้เป็นที่รู้จัก ยกตัวอย่างครับ สมัยแรกที่ผมเป็น สส.ในเขตห้วยขวางและวัฒนา เวลาผมมีงบทำถนน ล้างท่อ ผมไม่อยากจะติดป้ายเคลมงานเป็นของผม เพราะผมถือว่าไม่อยากเป็นขยะสายตาให้ชาวบ้าน แต่เป็นบทเรียนที่เรียนรู้ที่ล้ำค่า คือเมื่อไม่ติดป้าย ไม่มีใครรู้ แถมโดนด่าว่าไม่ได้ทำอะไรให้ชาวบ้าน เลยแพ้การเลือกตั้งครั้งต่อไป

เป็นบทเรียนเลยครับ จะจริงใจ ตั้งใจทำงานมากน้อยขนาดไหน ถ้าคนไม่เห็น ถ้าคนไม่รับรู้ เขาจะเข้าใจไปอีกทิศทาง ซึ่งเข้าใจได้ครับ แต่มันจะมีเส้นบางมากๆ ระหว่างเผยแพร่ผลงานให้คนรับรู้กับสร้างภาพ

ปัญหาอยู่ที่ว่า คนในยุคนี้แยกแยะไม่ออกว่าคนที่เผยแพร่ผลงานให้คนรับรู้กับคนสร้างภาพ (หรือแย่กว่า) คนทำคอนเทนต์เพื่อสร้างภาพ ในสายตาคนยุคปัจจุบัน คนสร้างภาพกลายเป็นคนถูกยกย่อง ถูกเชิดชู เลยทำให้คนอื่นที่มองออกเหนื่อยใจและส่ายหัวทุกคน แต่เป็นวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ครับ ยิ่งสร้างยิ่งได้ดี

เลยอาจต้องปรับคำถามเรื่องต้นไม้ที่ล้มในป่า จาก หากไม่มีคนได้ยิน มีเสียงไหม? มาเป็น ถ้าต้นไม้ล้มในป่า แล้วคนไม่ทำคอนเทนต์ ไม่ลงรูปในโซเชียล ต้นไม้ล้ม และมีเสียงไหม? เศร้าจังครับ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

SEA Games แบบไทยๆ

คงไม่มีข่าวอะไรที่คนสนใจเท่ากับเรื่องผู้มีชื่อเสียง ผู้มีอำนาจหลายท่านมีรูปถ่ายกับเบน สมิธ ซึ่งถ้าโลกสวยเมื่อบุคคลเหล่านี้บอกว่าไม่รู้จักเขา เพียงถ่ายรูปเฉยๆ

'คำพูดเป็นนายเรา'ยังจริงไหม?

เรื่องการกลับลำของประธานาธิบดี Donald Trump เกี่ยวกับ Epstein Files ผมว่าตลกดี เพราะตั้งแต่เป็นประธานาธิบดี Trump พูดแล้วพูดอีกว่า

'Thailand. Taiwan? Thailand. Taiwan?' Ok, yes. Taiwan.'

วันนี้ขออนุญาตเขียนเรื่องที่คนไทยทุกคนที่เคยใช้ชีวิตในต่างแดนเจอทุกๆ คน ยิ่งต่างแดนที่เป็นเมืองฝรั่งๆ หน่อย ผมกล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่าคนไทย 100% ต้องเจอทุกคน

SNAP ดีหรือไม่ดี?

ในที่สุดท่าทีการยุติ Government Shutdown ในสหรัฐที่จะยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ อาจสิ้นสุดลงแล้ว ไม่ใช่เพราะความพยายาม หรือการประนีประนอม

Back to the Future…

กราบสวัสดีแฟนคอลัมน์ทุกท่านครับ ครั้งสุดท้ายที่เจอกันวันนี้ ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง เดี๋ยวผมค่อยเล่า วันนี้ขออนุญาตเป็นเรื่องเบาๆ ซึ่งหลายคนอาจบอกว่าไร้สาระ หรือน่าหมั่นไส้ก็ได้ แต่ขอสักวันละกัน

ฉันเกิดในรัชกาลที่ 9

พรุ่งนี้ครบรอบ 9 ปีวันสวรรคตในหลวงรัชกาลที่ 9 (ของเรา) ผมขอออกตัวว่าจะขออนุญาตใช้คำศัพท์ง่ายๆ ในวันนี้ บอกตามตรงว่าผมไม่แม่นราชาศัพท์ครับ