
ไม่ทราบว่า "โดนัลด์ ทรัมป์" โทร.มาคุยกับนายกฯ อนุทินว่าอย่างไรบ้าง
เอาดีลภาษีมาขู่หรือเปล่า
ต้องปิดต้นฉบับก่อนครับ
แต่ประเด็นการแทรกแซงโดยต่างชาติมีความชัดเจนขึ้นครับ
ทั้งในแง่การทูต และการรบ
มีข่าวออกมาหนาหูว่า เริ่มพบนักรบต่างชาติเข้าไปช่วยเหลือทหารเขมรในการรบกับไทย เพราะอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่นั้นเกินขีดความสามารถของทหารเขมร
โดยเฉพาะการควบคุม "โดรน"
ข้อมูลจาก รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ระบุว่า มีกลุ่มนักรบรับจ้างจากบริษัทเอกชนของอเมริกา คือผู้ควบคุมโดรนให้ทหารเขมร
น่าตกใจครับ
เพราะอย่างน้อยๆ บริษัทพวกนี้จะส่งคนไปไหน รัฐบาลสหรัฐก็ต้องรับรู้ด้วยเช่นกัน
ขณะที่ "ทรัมป์" มาเล่นบทพ่อพระ เป็นผู้นำพาซึ่งสันติภาพ
เรื่องนี้จะจริงเท็จอย่างไรมิทราบได้ แต่ข้อเท็จจริง การรบระหว่างไทยกับเขมร มีการใช้โดรนสังหารอย่างกว้างขวาง
โดยเฉพาะเขมร มีความเชี่ยวชาญแบบก้าวกระโดด จนน่าแปลกใจว่ามีคนควบคุมโดรนให้ทหารเขมรจริงหรือ
ย้อนกลับไปดูคำให้สัมภาษณ์ของพันโทดักลาส แม็กเกรเกอร์ อดีตที่ปรึกษากระทรวงกลาโหมสหรัฐ การต่อจิกซอว์ก็ชัดเจนขึ้น
"...ทั้งไทยและกัมพูชามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจีน การกล่าวโทษว่าจีนอยู่เบื้องหลังความขัดแย้งไม่ใช่ความจริงเลย ความจริงคือพวกเรา ซีไอเอ ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้...”
ฉะนั้นที่เรากำลังสู้อยู่นี้ มิได้สู้กับเขมรเท่านั้น
พวกฝรั่งตะวันตก อเมริกัน เข้ามาแทรกซึมก่อนแล้ว
บริบทการสู้รบ ณ ขณะนี้ จึงมีส่วนคล้ายคลึงกับสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน
ยูเครนใช้โดรนกลายเป็นอาวุธหลักในการเจาะลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย
เป้าหมายคือ คลังน้ำมัน สนามบิน เขตเมืองสำคัญของรัสเซีย
เรดาร์ของไทยตรวจพบโดรนบินโฉบไปโฉบมาฝั่งไทยเกือบทั้งวัน
สูงไม่เกิน ๕๐๐ เมตร ซึ่งเป็นระดับเดียวกับโดรนลาดตระเวนติดกล้องความละเอียดสูง
เป็นการแทรกซึมเข้ามาดูการจัดวางกำลังของกองทัพไทย
ประเด็นสำคัญ พบโดรนเหล่านี้มีรูปแบบสัญญาณควบคุมใกล้เคียงกับอุปกรณ์ของผู้ผลิตสหรัฐและจีนผสมกัน
เป็นการดัดแปลงเพื่อหลบเลี่ยงการสาวไปถึงที่มา หากถูกยิงตก
ฝั่งจีนก็ถูกจับตามองไม่น้อยเหมือนกัน เพราะอาวุธหนักที่เขมรได้มาในช่วงหลังๆ นี้ ทั้งหมดได้มาจากจีน
หากอาวุธจีนถูกนำมาใช้กับไทยในสงครามเต็มรูปแบบ มันก็น่ากระอักกระอ่วนไม่น้อยเช่นกัน
มีข้อมูลจากเพจคัดข่าว น่าสนใจครับ
"...กัมพูชายิง PHL-03 ใส่ไทย เท่ากับจีนเปิดฉากสนับสนุนการโจมตีโดยตรง
นักวิเคราะห์การทหารและความมั่นคงหลายฝ่ายเปิดเผยตรงกันว่า หากกัมพูชานำระบบยิงจรวดหลายลำกล้อง PHL-03 (หรือรหัสส่งออก AR2) ที่ได้รับจากจีน มาใช้โจมตีเป้าหมายในประเทศไทยจริง จะถือเป็นหลักฐานทางเทคนิคที่ชัดเจนที่สุดว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนให้การสนับสนุนการโจมตีดังกล่าวในระดับสูงสุด ไม่ใช่แค่การขายอาวุธธรรมดา"
“มันไม่ใช่แค่ขายปืนแล้วจบ แต่เป็นการส่งมอบระบบอาวุธที่ผูกติดกับโครงข่ายดาวเทียมของจีนอย่างแยกไม่ออก”
“ถ้า PHL-03 ยิงเข้ามาในไทยด้วยความแม่นยำสูง นั่นหมายความว่าสัญญาณนำทางจากดาวเทียม BeiDou ของจีนกำลังทำงานให้กัมพูชาอยู่ตลอดเวลา”
นั่นคือข้อมูลที่ปรากฏ และค่อนข้างจะเป็นข้อมูลที่กล่าวร่วมในบรรดาผู้ติดตามด้านความมั่นคง
ระบบ PHL-03 เป็นจรวดนำวิถีขนาด ๓๐๐ มม. ระยะยิงไกลสุด ๑๓๐-๑๖๐ กิโลเมตร แต่ละคันยิงได้พร้อมกัน ๑๒ นัด ความแม่นยำ (CEP) ต่ำกว่า ๑๐ เมตรเมื่อใช้ระบบนำทางดาวเทียม ซึ่งในทางปฏิบัติต้องอาศัยดาวเทียม BeiDou ของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) เป็นหลัก แม้ในเอกสารส่งออกจะระบุว่าสามารถใช้ GPS หรือ GLONASS ได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า ความสามารถเต็มพิกัด โดยเฉพาะในสภาวะสงครามอิเล็กทรอนิกส์ที่ GPS อาจถูกรบกวน จะต้องพึ่งพา BeiDou ที่จีนควบคุมแต่เพียงผู้เดียว
จีนสามารถปิดสัญญาณ BeiDou ให้กัมพูชาได้ทุกเมื่อหากไม่ต้องการให้ยิง แต่ถ้ายิงได้แม่น แปลว่าจีน ‘อนุญาต’ หรืออย่างน้อยก็ ‘รู้เห็น’ กับการใช้งาน
โดยกัมพูชาได้รับมอบระบบ PHL-03 อย่างน้อย ๖ ลำกล้อง พร้อมรถขนส่งและกระสุน เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๕ ถือเป็นชาติแรกในอาเซียนที่ได้รับอาวุธหนักระดับนี้จากจีน การฝึกอบรมและการบำรุงรักษายังคงดำเนินการโดยวิศวกรจีนอย่างต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงระหว่างประเทศระบุว่า การใช้ PHL-03 โจมตีไทยจะสร้างสถานการณ์ที่ไทยสามารถนำไปใช้กดดันจีนในเวทีระหว่างประเทศได้อย่างชอบธรรม
“มันจะไม่ใช่แค่ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น ‘การแทรกแซงทางอ้อมของจีน’ ทันที เพราะ BeiDou ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นส่วนหนึ่งของอธิปไตยทางไซเบอร์และอวกาศของจีน”
จนถึงขณะนี้มีรายงานการเคลื่อนย้ายระบบ PHL-03 ไปยังชายแดนไทย-กัมพูชา แต่แหล่งข่าวทหารไทยยืนยันว่า กองทัพไทยได้เพิ่มระดับการเฝ้าระวังและเตรียมระบบป้องกันภัยทางอากาศ รวมถึงระบบต่อต้านจรวดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและอีสานตอนล่างอย่างเข้มงวดแล้ว
"ขอสรุปให้เข้าใจตรงกันว่า ถ้าวันใดที่ PHL-03 ยิงเข้ามาจริง วันนั้นคือวันที่จีนเลือกข้างอย่างเป็นทางการ..."
ครับ...พันเป็นงูกินหาง
เรื่องไทยกับเขมรปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกี่ยวข้องกับดุลอำนาจโลก ท่าทีของสหรัฐกับจีน จึงสำคัญอย่างมาก
ข้อมูลของ "รศ.ดร.ปณิธาน" ชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนที่จะเพิ่มมากขึ้น
"...สหรัฐอาจจะพยายามโค่นล้มนายฮุน เซน ลงอย่างจริงจัง เพราะก็ชัดเจนแล้วว่าปัญหามาจากคนคนเดียวเป็นสำคัญ
แต่จะต้องหาทางสนับสนุนผู้นำคนใหม่ๆ ที่เอื้อประโยชน์กับตนมากกว่านี้ให้เข้ามาแทนที่ให้ได้ ซึ่งก็ไม่ง่ายนัก
และชาติอื่นๆ เช่น จีน รัสเซีย คงไม่ยอม และอาจจะสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ชาวเขมรแตกออกเป็น ๕-๖ กลุ่ม นอกจากเขมรตระกูลฮุนแล้ว อาจจะมีเขมรแดงเดิม เขมรเจ้านาย เขมรสายเวียดนาม เขมรสายอเมริกันตะวันตก เขมรสม รังสี และเขมรเจนซี ที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยจำนวนมาก และในที่สุดก็จะเกิดสงครามกลางเมืองกันอีก..."
ปวดกบาลครับ!
เอาเป็นว่าเบื้องหน้านี้เราต้องหายใจด้วยจมูกตัวเองก่อน รีบทุบเขมรให้เหลือพิษสงน้อยที่สุด
เขมรยกธงขาวเมื่อไหร่ค่อยเจรจา
หลังจากนี้การแทรกแซงคงจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องยืนกรานในผลประโยชน์ของไทยให้มากที่สุด
เพราะอย่างไรเสีย ภูมิรัฐศาสตร์ไทยยังสำคัญกว่าเขมรมาก
มหาอำนาจไม่กล้าสูญเสียไทยหรอกครับ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ภาระของแผ่นดิน
มาแล้ว... จอมเสือก! “โดนัลด์ ทรัมป์” บอกว่า จะโทร.หา “อนุทิน” กับ “ฮุน มาเนต” เจรจาสงบศึก เห็นว่าถ้าไม่เชื่อฟังจะเอาภาษีบีบ
สงครามที่ไม่จำเป็น!
“หัวหน้าเท้ง” ไม่ยอมตกขบวนจริงๆ ครับ อย่างที่เคยบอกไปไม่ผิดหรอกครับ ไม่ได้เก่งเฉพาะเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เรื่องการสงครามแกก็เก่งใช่ย่อยเหมือนกัน
เหนื่อยใจกับแนวรบภายใน
ตกลงว่าที่เขมร ประธานวุฒิสภา คือผู้นำประเทศสินะ... "ตาเฒ่าวุ้นเส้น" ถึงได้บัญชาการรบด้วยตัวเอง ส่วนเจ้าลูกชายหัวเห็ด "ฮุน น้ำมะเน็ด" เพิ่งงัวเงียตื่น โพสต์ข้อความในสื่อโซเชียล หลังทหารไทย-เขมร ยิงกันไปแล้ววันกว่าๆ
เขมรจนตรอก
อีกแล้วครับทั่น.... วานนี้ (๗ ธันวาคม) สื่อเขมรรายงาน ข่าวด่วน! กล่าวหาทหารไทยยิงถล่มกองกำลังกัมพูชาที่ชายแดนปราสาทพระวิหาร เป็นรายงานอ้างคำแถลงของ “พลโทหญิง มาลี โสเจียตา” โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา เปิดเผยว่า
ว่าด้วยเรื่องเคลมผลงาน
มากันเพียบครับ...ผู้รู้ทั้งนั้น!สารพัดคำแนะนำและคำเหน็บแนม หลัง ปปง.ยุครัฐบาลอนุทิน อายัด-ยึดทรัพย์ของแก๊งสแกมเมอร์ระดับหัวโจกที่อยู่ในเมืองไทย บ้างเยาะเย้ยว่าแค่อายัด ไม่ใช่ยึด พอเรื่องเงียบก็คืน
ทำไมไม่ยึดยุค 'อุ๊งอิ๊ง'
เขย่าพอหอมปากหอมคอ “เบน สมิธ” ชื่อนี้ตอนนี้ เหม็นยิ่งกว่าขี้ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้

