2ป.เปิดเกมรุก 'ตู่' สวมเสื้อนักการเมือง 'ป้อม' ชูจุดแข็งนายกฯโซ่ข้อกลาง

    แต่การเปิดตัวในเวทีดังกล่าวมีเสียงสะท้อนว่าไม่ปัง! แต่อย่างใด แม้แต่ กองหนุนลุงตู่-พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ยังแสดงความผิดหวังว่า พรรคลุงตู่ไม่ปังอย่างที่คิดไว้ แบบมันดูเก่าๆ ไปหน่อย มีลักษณะเป็นการขายลุงตู่โดยตรง เหมือนทักษิณยุคแรกเลย

    มีรายงานว่า การจัดเวทีเปิดตัวดังกล่าวได้จ้างบริษัทออร์แกไนซ์ดำเนินการ มีการเตรียมสคริปต์ให้ด้วย แต่ พล.อ.ประยุทธ์เห็นแล้วก็ไม่สบอารมณ์ จึงพูดนอกสคริปต์และพูดสนุกๆ กับมวลชนแบบกันเอง

รวมทั้งการวาง สแตนดี้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช. และ สแตนดี้ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ใส่เสื้อพรรครวมไทยสร้างชาติอยู่ด้วย แม้จะได้รับความสนใจ แต่ก็ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ดูเหมือนเป็นตัวตลก

    การจัดโครงสร้างพรรคที่มีนายพีระพันธุ์เป็นหัวหน้า ก็ยังไม่เปิดกว้างให้บุคคลที่มาจากสังกัดต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วม รวมทั้งทีมเสธ. พล.อ.ประยุทธ์ ก็เข้าไปมีส่วนร่วมไม่ได้มาก

    ทำให้ล่าสุด นายสกลธี ภัททิยกุล อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.และอดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่ตั้งใจไปจะร่วมงานกับลุงตู่ ต้องถอดใจกลับไปพรรค พปชร.อีกรอบ

    ส่วนแนวคิดการตั้ง ซูเปอร์บอร์ด ตามรูปแบบองค์กรจัดตั้งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มี โปลิตบูโร หรือ กรมการเมือง 7 คน เป็นกลุ่มผู้นำอำนาจสูงสุด โดยมี พล.อ.ประยุทธ์นั่งเป็นประธาน ก็ยังไม่เคาะ อ้างว่าต้องดูข้อกฎหมายก่อน

    อย่างไรก็ตาม การรวมเสื้อพรรค รทสช.ครั้งนี้มีการเตรียมตัวมาล่วงหน้านานแล้ว พร้อมกับเตรียมคนใกล้ชิดและทีมงานลุยงานการเมืองเต็มที่ ตั้งแต่ตั้ง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี

ในวันเปิดตัวก็ได้มีคำสั่งแต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีอีก 3 คน ประกอบด้วย นายชัชวาลล์ คงอุดม, นายชุมพล กาญจนะ และ นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ซึ่งทั้ง 3 คนต่างเป็นนักการเมืองที่จะไปร่วมงานกับพรรค รทสช.ทั้งสิ้น

 แม้ตำแหน่งดังกล่าวไม่มีเงินเดือน แต่ให้ส่วนราชการสนับสนุนการดำเนินงานของที่ปรึกษาของนายกฯ ทั้งยังสามารถเบิกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานได้ด้วย ทำให้มีข้อกังขาว่าอาจจะไปขอให้หน่วยงานราชการเข้ามาช่วยเหลือตัวเองเพื่อประโยชน์ทางการเมือง

กรณีที่นายกฯ ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานในโครงการต่างๆ ก็หนีบเลขาธิการนายกฯ-ที่ปรึกษาไปด้วย ก็ได้ทั้งผลงานรัฐบาลและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่พรรครวมไทยสร้างชาติได้เช่นกัน

โดยสัปดาห์หน้า นายกฯ จะลงพื้นที่ จ.ราชบุรีและนครสวรรค์ ในส่วนกิจกรรมของพรรค รทสช.จะจัดในรูปแบบออนทัวร์ไปทุกภาคทั่วประเทศ เพื่อพบประชาชนและนำเสนอนโยบาย ควบคู่กับการแนะนำตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ในแต่ละพื้น

    สำหรับเทคนิคกลยุทธ์ในการใช้ตำแหน่งหน้าที่แอบแฝงการหาเสียงก็ทำกันมาทุกยุคสมัย อยู่ที่ว่าจะโจ่งครึ่มแค่ไหน และจะโดนร้องเรียน กกต.หรือไม่ อย่างไร

    ขณะเดียวกันมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจจาก บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยเพจเฟซบุ๊ก “พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” ซึ่งเป็นเพจทางการของ พล.อ.ประวิตร ที่ไว้ใช้โพสต์ข่าวคราวความเคลื่อนไหวและการปฏิบัติภารกิจของ พล.อ.ประวิตร ได้มีการโพสต์เป็น จดหมายเปิดใจ สรุปใจความว่า การรัฐประหารโดย คสช.เมื่อ 22 พ.ค.2557 พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนออกมายุติวิกฤตการณ์ของบ้านเมือง ตนเองเกษียณอายุราชการจากตำแหน่ง ผบ.ทบ.ตั้งแต่ปี 2548 เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์จัดตั้งรัฐบาลจึงได้ตอบรับเข้าร่วมรัฐบาลในตำแหน่งรองนายกฯ

    ถอดรหัสออกมาได้ว่า บิ๊กป้อม กำลังสลัดภาพเผด็จการ คสช. ที่ถูกโจมีมาตลอดจากฝั่งที่เรียกว่าฝ่ายประชาธิปไตย โดยยืนยันว่าตนเองไม่เกี่ยว เหมือนที่ตอบคำถามในสภาระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อ 20 ก.ค.2565 ว่า "เรื่องปฏิวัติผมไม่ได้เกี่ยวข้อง นี่ครับคนปฏิวัติ..ท่านนายกฯ คนเดียว" พร้อมชี้ไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ ที่นั่งอยู่ข้างๆ กันจนเป็นที่ฮือฮา

    เนื้อหาในเฟซบุ๊กระบุอีกว่า หลังมีกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น พล.อ.ประยุทธ์ก็แสดงความประสงค์จะทำงานการเมือง โดยอ้างว่าเพื่อสานต่อภารกิจที่ดำเนินการไว้ให้สำเร็จ ผมจึงตัดสินใจสนับสนุนให้มีการตั้งพรรคพลังประชารัฐเพื่อสู้ศึกเลือกตั้ง และเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ให้กลับมาเป็นนายกฯ ตามที่เจ้าตัวปรารถนา

ในช่วงเวลาของการเป็นแกนนำรัฐบาล มีทั้งเรื่องที่ผมเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจใน ครม. แต่จำเป็นต้องสงวนท่าทีตามมารยาททางการเมือง

มาบัดนี้ชัดเจนแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์แสดงจุดยืนทางการเมืองเมื่อวันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2566 ว่าจะแยกทางจากพรรคพลังประชารัฐที่เคยสนับสนุนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อไปร่วมงานการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติ

พร้อมกับบอกว่า ผมเคยกล่าวไว้ว่า “3 ป. Forever” มาวันนี้ ผมก็ยังมีความรู้สึกเช่นเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในเมื่อท่านตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ผมก็ไม่สามารถจะบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ คงจะบอกได้เพียงว่า ผมขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย ขอให้ประสบความสำเร็จบนเส้นทางการเมืองใหม่ที่ท่านได้ตัดสินใจเลือกแล้ว

เหมือนกับ บิ๊กป้อม กำลังทวงบุญคุณและตัดพ้อ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ตนเองเป็นคนตั้งพรรค พปชร. และสนับสนุนให้ได้กลับมาเป็นนายกฯ แต่ตอนนี้กลับแยกทางไปร่วมกับพรรคอื่น

    ก่อนทิ้งท้ายอย่างมีนัยสำคัญว่า ขอประกาศในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่าจะขอรับผิดชอบและจะไม่มีวันทอดทิ้งสมาชิกพรรคทุกคนที่เคยทำงานการเมืองมาด้วยกัน และพร้อมจะเดินนำทุกคนที่มีความเชื่อมั่นในความตั้งใจอันแน่วแน่ของผม เข้าสู่การเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตยต่อไป เพื่อกลับมาเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลบริหารบ้านเมืองอีกครั้ง

สรุปได้ว่า บิ๊กป้อมยืนยัน 3 ป.ยังรักกัน แต่เมื่อน้องตู่แยกไปอยู่คนละพรรค พี่ป้อมก็พร้อมประกาศสู้ศึกเลือดตั้งเพื่อเป็นนายกฯ คนต่อไปเช่นกัน

    มีรายงานว่า จดหมายเปิดใจดังกล่าวมาจากคนใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร เป็นคนดำเนินการจากการพูดคุยกัน แล้วบิ๊กป้อมไฟเขียวให้โพสต์ออกสาธารณะ แม้แต่ พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำรองนายกฯ (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ก็ไม่รู้เรื่อง หาว่าเพจปลอม แต่ต้องออกมายอมรับภายหลังว่าเป็นของพรรคจริง!

ขณะที่แกนนำพรรค พปชร. นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค พปชร. กับ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค พปชร. กล่าวอย่างมั่นใจว่า พปชร.ต้องชูหัวหน้าพรรค พล.อ.ประวิตร เป็นแคดิเดตนายกฯ เพียงคนเดียว และไปเป็นนายกฯ คนที่ 30 เป็นเป้าหมายที่จะต้องทำให้สำเร็จ

นายวิรัช ยกเหตุผลที่ พปชร.เห็นว่า พล.อ.ประวิตรเหมาะสมที่จะเป็นนายกฯ คนที่ 30 เพราะ “สามารถเป็นโซ่ข้อกลางพูดคุยกับทุกพรรคการเมือง และสมาชิกวุฒิสภาสามารถประสานได้หมด เหมือนที่สื่อมวลชนบอกว่า วันนี้ พปชร.เป็นโซ่ข้อกลางทั้งสองฝั่ง” 

การชูยุทธศาสตร์ โซ่ข้อกลาง สอดรับกับพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่พร้อมจับมือกับพรรค พปชร.ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร โดยไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ ท่ามกลางกระแสข่าวเรื่อง ดีลลับ หากเพื่อไทยชนะเลือกตั้งอันดับหนึ่งก็พร้อมจะชู พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ เพื่อสร้างความปรองดอง

เช่นเดียวกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงจุดยืนของพรรคท่ามกลางความขัดแย้งแบ่งขั้วของพรรคการเมืองว่า หากเราได้เป็นแกนนำรัฐบาล สิ่งที่จะทำคือการทำงาน เรื่องขั้วเรื่องข้างต้องเลิก การสลายขั้วเกิดขึ้นได้ถ้าผู้บริหารประเทศรับฟังและประนีประนอม มีเป้าหมายจะทำงานไปข้างหน้า เราอยากดึงมือคนไทยออกจากกองไฟ เป็นแนวทางของพรรค

ขณะเดียวกัน นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา กับ นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ส.ว.จุดประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.158 ยกเลิกวาระ 8 ปี นั่งนายกฯ ไม่จำกัดระยะเวลา 

ข้อเสนอดังกล่าวเกิดข้อกังขาว่าจะเป็นการเปิดทางให้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ยาวหรือไม่ ทำให้ นายวิรัช รัตนเศรษฐ นายสันติ พร้อมพัฒน์ ประสานเสียงคัดค้านประเด็นดังกล่าวทันที เพราะจะเป็นการแก้ไขให้กับบุคคลเพียงคนเดียว

ต้องจับตาความเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อจากนี้ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์สวมเสื้อพรรครวมไทยสร้างชาติ เดินสายลงพื้นที่ งัดกลยุทธ์ชิงความได้เปรียบทางการเมืองให้กับพรรค รทสช. จนคาดกันว่านายกฯ จะชิงยุบสภาก่อนครบวาระ 23 มี.ค.นี้ เพื่อทำให้ผู้ที่ประสงค์จะลงสมัคร ส.ส.สามารถสังกัดพรรคภายใน 30 วัน นับถึงวันเลือกตั้ง เปิดทางให้นักการเมืองไหลมา รทสช.ได้อีกรอบ และยังยืดเวลาหาเสียงไปได้อีกไม่เกิน 60 วัน

อย่างไรก็ตาม แม้การเปิดตัวจะไม่ปัง และมีเสียงปรามาสว่าจะได้ ส.ส.เกิน 25 เสียงหรือไม่ แต่ พล.อ.ประยุทธ์-รทสช. ยังมีมวลชนที่มีอุดมการณ์อนุรักษนิยม รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ พร้อมจะหนุนลุงตู่อยู่ไม่น้อย ก็ต้องงัดกลยุทธ์ตรึงมวลชนเหล่านี้ลงคะแนนให้ลุงตู่อีกครั้ง
    ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ โดยการนำของ พล.อ.ประวิตร ก็ต้องเปิดเกมรุกพร้อมกลยุทธ์ต่างๆ ภายใต้ยุทธศาสตร์ โซ่ข้อกลาง สลัดคราบเผด็จการ คสช. ประสานกับทุกขั้วการเมือง ก็จะเกิดการปะทะทางความคิดกับพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

พี่น้อง 2 ป.จะรักกัน ร่วมเป็นร่วมตายกันมาในสนามรบนานแค่ไหน แต่สนามการเมืองสมรภูมินี้คงต้องสู้กันอย่างเต็มที่ โดยมีคนข้างกายของทั้ง 2 ป.เป็นแรงผลักดันให้นายตัวเองกุมอำนาจรัฐอีกครั้งให้ได้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง