ก.ก.ขยิบตา‘ปดิพัทธ์’รั้งเก้าอี้ รองปธ.สภาฯที่(ไม่)เคารพ

สำหรับพรรคก้าวไกลงานเข้าไม่หยุด ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็เปิดเกมร้อนแรง ไม่เกรงใจอดีตที่เพิ่งผ่านมาหมาดๆ สมัยจับมือกันตั้งรัฐบาล วันนั้นหวานเจี๊ยบ วันนี้ขมปี๋ใส่คนรักเก่า

เป็นตัวตั้งตัวตีเดินหน้ายึดเก้าอี้ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) มิหนำซ้ำยังจะยื่นองค์กรอิสระต่างๆ พิจารณากรณีพรรคก้าวไกลขับ ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก ออกจากพรรค ทั้งในแง่ถูกต้องตามข้อบังคับพรรคก้าวไกล และจริยธรรมหรือไม่

พรรคเพื่อไทย ส่ง อดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) เป็นแนวหน้ารบกับก้าวไกล เปิดฉากอ้างข้อบังคับของพรรคก้าวไกล ข้อ 64 (5) ที่บัญญัติไว้ว่าจะขับสมาชิกออกจากพรรคได้ก็ต่อเมื่อเข้าเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำผิดวินัยร้ายแรง 2.ผิดจรรยาบรรณ และ 3.มีเหตุการณ์ร้ายแรงอื่นๆ

 “อดิศร-ประธานวิปรัฐบาล” ติดใจสงสัยว่า “ปดิพัทธ์” ผิดอะไร อย่างไร เข้าเงื่อนไขข้อใดของข้อบังคับ??

ตอนแรกจะยื่นญัตติด่วนใช้เวทีสภาฯ ชำแหละถึงวิธีการที่ทำให้ “ปดิพัทธ์” ได้นั่งเก้าอี้รองประธานสภาฯ ต่อไป ว่าเหมาะสมหรือไม่ แต่เมื่อปรึกษาหารือกับฝ่ายรัฐบาลด้วยกันแล้วโดนเบรก จึงหันไปอาศัยช่องทางขององค์กรอิสระ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นต้น

โดยขอให้พิจารณาว่าการขับ “หมออ๋อง-ปดิพัทธ์” ออกจากพรรคก้าวไกล เป็นไปโดยสุจริตหรือไม่ หรือเพราะจะได้สมประโยชน์กันทั้ง 2 ฝ่าย พรรคก้าวไกลได้ผู้นำฝ่ายค้าน และตัวปดิพัทธ์เองก็ยังได้ครองเก้าอี้รองประธานสภาฯ ต่อไป

อดิศร เปิดเผยสั้นๆ ว่า หลังจากนี้ต้องให้ “ชูศักดิ์ ศิรินิล” รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และฝ่ายกฎหมายของพรรคดูอย่างละเอียดอีกครั้งว่าผิดกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ จริยธรรม ส่วนใดบ้าง แล้วจะรีบส่งศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช.ต่อไป และย้ำว่า “พรรคเพื่อไทย” ไม่ได้ต้องการตำแหน่งรองประธานสภาฯ!!!

ฟากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) “วันชัย สอนศิริ” พูดชัดๆ แทนใจหลายคน เขาวิจารณ์ว่า “เรื่องการทำหน้าที่ได้ดี ก็เป็นอีกเรื่อง แต่มาตรฐานของพรรคการเมืองอย่างพรรคก้าวไกล ทั้งเคยไปตำหนิทั้งสังคมและพรรคการเมืองไว้ แต่เมื่อถึงเวลาอยากได้ตำแหน่ง อยากได้อำนาจ ก็ทำอะไรที่ไม่ต่างจากคนอื่น ซึ่งที่ผ่านมาเคยโจมตีคนอื่น แต่ตัวเองกลับทำในเรื่องที่เหมือนกล่าวหาคนอื่น พฤติกรรมที่ทำนี้ถือเป็นนิติกรรมอำพราง ซึ่งใครๆ ก็รู้อยู่ว่าเหมือนของหลอกๆ ไม่ใช่ของจริง เพราะความจริงแล้ว ในอดีตพรรคการเมืองของตนเอง ซึ่งเคยมี สส.ไปทำกิจกรรมกับพรรคอื่น หรือไม่ได้อยู่กับพรรค ก็ไม่เห็นไล่ออก แต่พอมาคราวนี้ อยากได้ตำแหน่ง อยากได้อำนาจ ก็ทำทีเป็นไล่ออก ถ้าถามว่าสังคมรู้หรือไม่ ก็ต้องบอกว่าสังคมรู้และใครๆ ก็รู้ แบบนี้จึงเห็นว่ามาตรฐานของพรรคการเมืองแบบนี้ ไม่ควรทำอย่างนี้”

ทว่า เรื่องนี้พรรคก้าวไกลโดนหนัก แม้แต่พวกเดียวกันบางคนยังมองว่า ทำแบบนี้การเมืองไทยก็เหมือนเดิม หากพรรคก้าวไกลต้องการเล่นการเมืองแบบใหม่ก็ควรทำให้เป็นตัวอย่าง เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งตรงไปตรงมา ไม่เล่นเกมอยากเก็บเธอไว้ทั้ง 2 คนลักษณะนี้

แน่นอนว่าอีกฝ่ายตรงกันข้ามโจมตีทุกจุด เมื่อ “วิธีการ” ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ ของ “หมออ๋อง” ดูจะไม่สง่างามนัก จึงมีคนตั้งคำถามถึงความเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อดิศร” ผู้ได้รับสัญญาณจากพรรคเพื่อไทย มีทีท่าคัดค้านน่าดู หลังไมค์มักพูดหยิกแกมหยอกเสมอ ว่าต่อไปอาจมี สส.พูดในห้องประชุมสภาฯ ว่า “ท่านประธานที่ไม่เคารพ” ก็ได้

อีกทั้งยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เมื่อตัดสินใจเช่นนี้ “ปดิพัทธ์” ในฐานะที่ไม่ได้สังกัดพรรคก้าวไกลแล้วต้องรับกรรมหรือการกระทำนั้นไว้เพียงผู้เดียว ก้าวไกลจะแก้ต่างหรือช่วยเหลือจะดูแปลกมาก เพราะเป็นฝ่ายที่ขับเขาออกจากพรรค

แถมตีขลุมถึงงานในพื้นที่ ทีมงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องก็ต้องตระหนัก แม้ที่ผ่านมา “ปดิพัทธ์” คือแนวหน้าของก้าวไกล แต่จากนี้ไปใช้ชื่อ “ก้าวไกล” ไม่ได้แล้ว และห้ามตีมึน

 อย่างไรก็ตาม เกือบ 3 เดือนตั้งแต่ “ปดิพัทธ์” ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง “รองประธานสภาฯ คนที่ 1” เกิดเรื่องขึ้นเป็นที่พูดถึงตลอดเวลา ตั้งแต่ใช้งบประมาณเลี้ยงหมูกระทะ โพสต์รูปคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงโซเชียลมีเดีย ยกคณะศึกษาดูงานที่สิงคโปร์ และล่าสุด ก้าวไกลและหมออ๋องขยิบตาให้กันขับออกจากพรรค

อืม บทสรุปของแต่ละเรื่องจะเป็นอย่างไร โปรดติดตาม.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ

เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569

'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'

ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ

แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ

วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน

รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม

วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก

ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต

ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)