แกนนำรัฐบาลปีกพรรคเพื่อไทยยังคงประกาศเดินหน้านโยบาย ดิจิทัลวอลเล็ต-560,000 ล้านบาท ต่อไป เพียงแต่ยอมรับว่า อาจมีความจำเป็นต้องเลื่อนการโอนเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทต่อคนออกไป เพราะระบบต่างๆ เพื่อรองรับดิจิทัลวอลเล็ตผ่าน ซูเปอร์แอปฯ อาจไม่สามารถดำเนินการได้ทัน จากเดิมที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ประกาศหลายครั้งว่า คนไทยทั้งประเทศที่อายุเกิน 16 ปีขึ้นไป จะได้ดิจิทัลวอลเล็ตคนละ 10,000 พร้อมกันหมด ในวันที่ 1 ก.พ.2557
การเลื่อนแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตออกไปดังกล่าว มีแนวโน้มสูงจะออกมาแนวนี้ หลังสัปดาห์ที่ผ่านมา จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง จากพรรคเพื่อไทย-ที่รับหน้าเสื่อดูภาพรวมนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตทั้งหมดให้กับรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ออกมายอมรับว่า มีความเป็นห่วงเรื่องกรอบระยะเวลาของโครงการ เพราะโจทย์ที่นายกรัฐมนตรีวางไว้คือ 1 ก.พ.2567 เป็นเวลาที่ค่อนข้างตึงและไม่ง่าย ดังนั้นหากมีความจำเป็นต้องเลื่อน ก็ต้องเลื่อน แต่มีเดดไลน์ไว้ว่าจะต้องไม่เกินไตรมาส 1/2567 ที่ก็คือ ไม่เกินเมษายนปีหน้านั่นเอง
การที่รัฐบาล-เพื่อไทย มีท่าทีพร้อมยอมถอยบางก้าว ในเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตดังกล่าว ดีกว่าจะเร่งทำ โดยที่องคาพยพต่างๆ ยังไม่มีความพร้อม ทั้งเรื่องงบประมาณและการเซตระบบเพื่อมารองรับดิจิทัลวอลเล็ต ที่เป็นเรื่องใหม่และเรื่องใหญ่สำหรับภาครัฐ โดยเฉพาะกับการใช้ระบบบล็อกเชนมารองรับดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อให้ทันกับการใช้เงินของคนไทยทั้งประเทศหลายสิบล้านคน ที่เสี่ยงจะเกิดปัญหาขึ้นได้ในช่วงแรกๆ
ดังนั้นหากรัฐบาลเลื่อนเวลาออกไป จาก 1 ก.พ.ไปเป็นช่วงก่อนสงกรานต์ เมษายน 2567 นั่นหมายถึงรัฐบาลมีเวลามากขึ้นในการเซตระบบและหาคำตอบให้ได้ว่า จะใช้เงินจำนวนหลายแสนล้านบาทมาจากไหน ถ้าเลือกที่จะแจกให้คนไทยทุกคน ไม่ใช่แค่กลุ่มเปราะบาง-คนรายได้น้อย หรือจะเลือกใช้วิธีต่างๆ ที่มีการเสนอแนะกันมา เช่น ให้ทยอยเป็นงวดๆ ไม่ใช่โอนทีเดียวเลย 560,000 ล้านบาท
การเลื่อนเวลากดปุ่มโอนเงินดิจิทัลวอลเล็ตออกไป แม้ เศรษฐา-เพื่อไทย อาจเสียหน้า แต่มองในภาพใหญ่ ถ้าเลื่อนแล้วมีความรอบคอบมากขึ้นในการดำเนินการ ที่สำคัญ ส่วนรวมได้ประโยชน์-เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด ก็เป็นเรื่องที่ควรต้องทำ
เพราะตอนนี้กระแสวิพากษ์วิจารณ์การที่รัฐบาลจะทำดิจิทัลวอลเล็ตยังดังอื้ออึงอยู่ ขณะเดียวกันองค์กรอิสระบางแห่งก็ตั้งแท่นรอเข้ามาตรวจสอบ-ติดตาม ซึ่งหากรัฐบาล-เพื่อไทยเดินพลาด ย่อมเสี่ยงพังทั้งกระดาน อย่างเช่นในส่วนของ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ” (ป.ป.ช.)
มีข่าวว่า หลังเมื่อวันที่ 11 ต.ค. มีมติให้สำนักงาน ป.ป.ช.ตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานขึ้นมาเพื่อพิจารณาศึกษาติดตามการดำเนินนโยบายโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทของรัฐบาล โดยให้เชิญนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน ด้านเศรษฐศาสตร์ และตัวแทนธนาคารแห่งประเทศไทย มาร่วมเป็นคณะกรรมการ เพื่อศึกษารายละเอียดโครงการดังกล่าว ข่าวแจ้งมาว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ป.ป.ช.ได้เริ่มมีการประสานงาน ติดต่อไปยังบุคคลต่างๆ ที่เป็นนักวิชาการ-อดีตผู้บริหาร ธปท.-นักวิชาการจากสถาบันทีดีอาร์ไอ และบุคคลที่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ทั้งในเชิงเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ให้มาร่วมเป็นคณะกรรมการชุดดังกล่าวแล้ว
ข่าวในทางลับบอกมาว่า เจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ป.ป.ช.ได้ติดต่ออดีตรองผู้ว่าฯ ธปท.คนหนึ่งที่ร่วมลงชื่อด้วยกับกลุ่ม 99 นักเศรษฐศาสตร์ ให้มาร่วมเป็นอนุกรรมการชุดดังกล่าวกับสำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งเบื้องต้นอดีตรองผู้ว่าฯ ธปท.คนดังกล่าว ก็มีท่าทีพร้อมจะร่วมเป็นอนุกรรมการด้วย แต่ยังไม่มีการเปิดเผยว่าเป็นรองผู้ว่าฯ ธปท.คนใด
อีกทั้งสำนักงาน ป.ป.ช.ยังอยู่ระหว่างการรอติดต่อทาบทามอีกหลายคน เช่น ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ที่มี นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นประธานด้วย หลังเมื่อช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา นายศุภวุฒิออกมาให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นว่า นโยบายแจกเงินดิจิทัลมีเดิมพันสูง 5.6 แสนล้านบาท โดยหวั่นว่าไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตต่อเนื่อง-ยั่งยืน และเสี่ยงเจอปัญหา ขาดดุลแฝด คือขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและขาดดุลงบประมาณ จนอาจทำให้หนี้สาธารณะพุ่ง
รวมถึงเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ช.ยังทาบทาม ดร.กิตติ ลิ่มสกุล อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย-อดีตผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่แรกเมื่อปี 2541-อดีตอาจารย์คณะเศรษศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เป็นหนึ่งในคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายพรรคเพื่อไทย ที่มีส่วนร่วมในการทำนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของพรรคตั้งแต่แรกเริ่ม ให้มาร่วมเป็นอนุกรรมการด้วย หลังเมื่อเร็วๆ นี้ “ดร.กิตติ” แสดงความเห็นผ่านสื่อว่า ไม่เห็นด้วยที่จะโอนดิจิทัลวอลเล็ตรอบเดียว 10,000 บาท เพราะจะทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อสูง โดยเห็นว่าควรโอนให้หลายรอบ ซึ่งเบื้องต้นนายกิตติได้ตอบรับที่จะไปร่วมเป็นอนุกรรมการของสำนักงาน ป.ป.ช.
ดร.กิตติ-หนึ่งในผู้ร่วมคิดนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ให้ข้อมูลไว้ว่า ทางสำนักงาน ป.ป.ช.ที่ติดต่อมาให้ไปร่วมเป็นอนุกรรมการของ ป.ป.ช. บอกว่า สำนักงาน ป.ป.ช.จะมีการตั้งคณะอนุกรรมการ โดยให้มีบุคคลจากหลายฝ่ายมาร่วมเป็นอนุกรรมการ ทั้งที่เห็นเหมือนกันและเห็นแตกต่างกัน ในเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตได้มาพูดคุยกันด้วยหลักวิชาการ จากนั้นจะมีการนำความเห็นทั้ง 2 ฝ่ายออกมาเพื่อเปิดเผยให้ประชาชนรับรู้ด้วย
“สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้รับการติดต่อจากสำนักงาน ป.ป.ช.ให้เข้าไปเป็นอนุกรรมการของ ป.ป.ช. ซึ่งหลังสอบถามแล้วว่าเข้าไปได้หรือ เพราะผมยังเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยอยู่ เขาก็บอกว่าเข้ามาได้ ในนามส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรค ซึ่งผมจะเข้าไปให้ข้อมูลทางวิชาการเท่านั้น” ดร.กิตติระบุ
นี่คืออีกหนึ่งฉากความเคลื่อนไหวของเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ที่กลายเป็นเดิมพันสำคัญทางการเมืองของ “เศรษฐา-รัฐบาล-พรรคเพื่อไทย” เวลานี้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
หาดใหญ่-สแกมเมอร์ทำรบ.'แต้มหล่น' 'อนุทิน'เปิดหน้าชนกู้เรตติ้ง
โดนล่อเป้าในจังหวะที่รัฐบาลกำลังอยู่ในสภาพอ่อนแอจากกรณีมหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สำหรับการปล่อยภาพที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก

