หลัง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นฝ่ายชนะคดี หุ้นสื่อไอทีวี เมื่อพุธที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา ทำให้นับจากนี้พิธาสามารถกลับมาทำหน้าที่ สส.ได้อย่างเป็นทางการได้ทันที
กระนั้นชัยชนะในคดีหุ้นสื่อไอทีวีต้องถือว่าพิธาและพรรคก้าวไกลยังชนะไม่สุด เพราะยังมียก 2 ให้ต้องลุ้นอยู่ หลังชนะในยกแรกมาแล้ว
เพราะพุธที่ 31 มกราคม เป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยในคดี ล้มล้างการปกครอง ที่พิธาและพรรคก้าวไกลถูก ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ ไปยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยพฤติการณ์ 2 กรณีของพรรคก้าวไกล คือ
1.กรณี สส.พรรคก้าวไกลสมัยที่แล้ว ที่นำโดยพิธา ในฐานะหัวหน้าพรรคร่วมกันลงชื่อเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เข้าสภา
2.กรณีพรรคก้าวไกล นำเรื่องการจะแก้ไขมาตรา 112 ไปเป็นนโยบายหาเสียงในช่วงการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา
เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พฤติการณ์ทั้ง 2 กรณีของพรรคก้าวไกลเข้าข่าย "ล้มล้างการปกครอง" หรือไม่?
โดย ธีรยุทธ-ผู้ร้อง ได้ใช้แนวคำวินิจฉัยก่อนหน้านี้ของศาลรัฐธรรมนูญ 2 คดี มาเป็นแนวทางในการยื่นคำร้องและสู้คดีกับพรรคก้าวไกล ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาของการไต่สวนคดีของศาลรัฐธรรมนูญ
นั่นก็คือคดีที่ ณฐพร โตประยูร ผู้ร้อง ได้ยื่นคำร้องว่า แกนนำกลุ่มม็อบสามนิ้ว เช่น อานนท์ นำภา, พริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่ร่วมกันเคลื่อนไหวการเมืองด้วยการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และการแก้ไขมาตรา 112 ในช่วงปี 2563-2565 เป็นการกระทำที่เป็นการล้มล้างการปกครอง ก่อให้เกิดความแปลกแยก ปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน
และศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า พฤติการณ์ของผู้ถูกร้องคือแกนนำม็อบสามนิ้ว เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสั่งให้แกนนำม็อบสามนิ้ว และกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
และอีกหนึ่งคำวินิจฉัยก็คือ คดี ยุบพรรคไทยรักษาชาติ ที่ศาลมีคำสั่งยุบพรรคไทยรักษาชาติ กรณีเสนอชื่อ “ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ” เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562
“ธีรยุทธ-ผู้ร้องคดีล้มล้างการปกครอง” อธิบายว่า อย่าง คำวินิจฉัยของศาล รธน.ที่ 3/2562 ในคดียุบพรรคไทยรักษาชาติ มีคำปรากฏอยู่ 2 คำ คือ คำว่า "ล้มล้าง" กับ "ปฏิปักษ์" โดยล้มล้างที่พูดถึงคือ ทำให้สิ้นสูญไป ทำให้ไม่มีเหลืออยู่ แต่คำว่าปฏิปักษ์ คำวินิจฉัยมีการแยกย่อยออกมาว่า คือการกระทำใดๆ ก็ได้ที่ก่อให้เกิดการเซาะกร่อน บ่อนทำลาย ทำให้ด้อยค่า ที่อาจเกิดการสูญสลายไปในวันข้างหน้าในที่สุด และคำว่า "ปฏิปักษ์นี้ หาอาจจำต้องให้เกิดผลร้ายเสียก่อน ไม่ เพียงแค่อาจเป็นปฏิปักษ์นั้น ก็ถือว่าผิดและขัดต่อรัฐธรรมนูญแล้ว" และยังอธิบายต่อไปอีกว่า คำว่า "อาจเป็นปฏิปักษ์ ไม่อาจจำต้องให้เกิดความเสียหาย เพียงแต่วิญญูชนมองเห็นแล้วว่า หากปล่อยเนิ่นช้าไป ความเสียหายเกิดขึ้นแน่ในอนาคต"
...ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำวินิจฉัยที่คล้ายกันใน 2 คำร้องดังกล่าว (คดีแกนนำม็อบสามนิ้ว-คดียุบพรรคไทยรักษาชาติ) ว่า จึงต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม จึงมีคำสั่งให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ เพราะเห็นว่าการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ดังกล่าว เป็นการกระทำของกรรมการบริหารพรรค ที่มีความผูกพันกับพรรคด้วย เมื่อผมดูจากคำวินิจฉัยคดีพรรคไทยรักษาชาติ เราก็เห็นว่าการเคลื่อนไหวของนายพิธา ที่กระทำการใดๆ ในนามหัวหน้าพรรค ที่เป็นกรรมการบริหารพรรค จึงถือว่ามีความผูกพันกับพรรคก้าวไกลไปด้วยในตัว
“ธีรยุทธ” ระบุว่า คำร้องของผม ขอให้พรรคก้าวไกลหยุดเรื่องนี้ หยุดใช้ 112 ในการหาเสียง แต่เมื่อวันนี้การหาเสียงเลือกตั้งจบไปแล้ว ก็ขอให้พรรคก้าวไกลหยุดที่จะแสดงความเห็น หยุดการเผยแพร่ใดๆ ในเรื่องมาตรา 112 เพราะผมตีความจากคำวินิจฉัยที่ยกมา 2 คดีข้างต้นที่่ว่า ตัดไฟเสียแต่ต้นลม ไม่ให้ลุกลาม คือไม่ให้พูดต่อ ให้หยุดเสีย ให้มันหายไปเลย ไม่ต้องพูด ไม่ให้แสดงความเห็นหรือเผยแพร่ข้อความใด รวมถึงไม่สามารถเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขมาตรา 112 ต่อรัฐสภาด้วย
....แต่ลำดับแรก ศาลต้องวินิจฉัยก่อนว่า พฤติการณ์ของเขา (พรรคก้าวไกล) เข้าข่ายการล้มล้างการปกครองหรือไม่ เข้าข่ายเซาะกร่อนหรือไม่ หากเข้าข่ายก็คงอาจไปดูว่าแล้วจะเป็นการล้มล้างในวันข้างหน้าได้หรือไม่ ถ้าเห็นว่าเข้าข่ายก็อาจจะมีคำสั่งให้พรรคก้าวไกลหยุดเรื่อง 112
...ถ้าเข้าข่าย นี่คือเหตุผลในการจะนำไปสู่การร้องให้ยุบพรรคก้าวไกล โดยไปร้องกับ กกต. เพื่อให้ กกต.ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรค ตามมาตรา 92 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง
"คำร้องคดีนี้ หากสุดท้าย ศาลมีคำสั่งให้นายพิธาและพรรคก้าวไกล หยุดเรื่อง 112 ศาลจะวินิจฉัยก่อนว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสอง เข้าข่ายเป็นการเซาะกร่อน บ่อนทำลาย เป็นปฏิปักษ์ และจะมีผลเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยในวันข้างหน้า ซึ่งหากเห็นว่าเข้าข่าย ก็อาจเห็นควรมีคำสั่งให้หยุดการกระทำต่างๆ ตามที่ผู้ร้องได้ร้องต่อศาล
หากเป็นเช่นนั้น เหตุผลจากคำวินิจฉัย ว่าพฤติกรรมเป็นการเซาะกร่อน บ่อนทำลาย เป็นปฏิปักษ์ และอาจเป็นการล้มล้าง เหตุผลดังกล่าวนั้นจึงจะเป็นหลักฐานอันควรเชื่อว่า เป็นเหตุอันควรยุบพรรค ซึ่งจะเป็นคำร้องดอกสองต่อไป" ธีรยุทธผู้ร้องระบุ
ขณะเดียวกัน ในอีกทางหนึ่ง หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า การที่ สส.ก้าวไกลสมัยที่แล้ว ร่วมกันลงชื่อแก้ 112 เป็นพฤติการณ์ล้มล้างการปกครอง ก็อาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามขยายผล ยื่นเรื่องเอาผิด สส.ก้าวไกลที่ร่วมกันลงชื่อว่า ทำผิดมาตรฐานจริยธรรม โดยใช้กรณีศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษา ให้ ช่อ-พรรณิการ์ วานิช อดีต สส.อนาคตใหม่ มีความผิดฐานฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงกรณีโพสต์ข้อความพาดพิงสถาบัน ที่ศาลตัดสินให้ถอนสิทธิ์รับสมัครเลือกตั้งตลอดชีวิต และไม่มีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อนำมาเทียบเคียงว่าจะสามารถเอาผิดได้หรือไม่
แต่หากศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง โดยเห็นว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้มีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครอง พรรคก้าวไกลก็จะถือว่าได้ ไฟเขียวจากศาล รธน.
สิ่งที่จะตามมาคือ จะทำให้พรรคก้าวไกลเดินหน้าสั่งให้ สส.ของพรรคลงชื่อเสนอร่างแก้ไขมาตรา 112 เข้าสภาทันที เพื่อทำตามที่ได้หาเสียงไว้ก่อนหน้านี้ และจะทำให้การพูดเรื่องการแก้ 112 จะถูกโหมโรงมากยิ่งขึ้น เพราะถือว่าศาล รธน.ไฟเขียวแล้วว่าทำได้ ไม่ถือว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครอง
ผลคำตัดสินของศาล รธน. วันที่ 31 ม.ค. คดีล้มล้างการปกครอง จึงมีผลกระทบทางการเมืองและชวนให้ลุ้น ระทึกกว่าคดีหุ้นสื่อของพิธา หลายเท่า.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)

