ท่ามกลางกระแสต่อต้าน ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่กำลังเดือดระอุได้ที่
ตั้งแต่การผ่านมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) และ ‘รัฐบาล’ ซึ่งนำโดย ‘พรรคเพื่อไทย’ ยืนกรานว่า จำเป็นจะต้องผลักดันกฎหมายนี้ให้ผ่านพ้นไปก่อนหมดสมัยประชุมสภา เพื่อหวังดึงดูดการท่องเที่ยวแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้น
ด้านพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน ก็ยังไม่เคยมีพรรคใดออกมาสนับสนุนเต็มที่ เลี่ยงตอบไปตามแต่ละประเด็น เพราะกลัวฐานเสียงตัวเองไม่พอใจ
ฝ่ายประชาชน นักวิชาการ และองค์กรจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วย ต่างร่อนแถลงการณ์คัดค้านอย่างต่อเนื่อง มีบางส่วนเตรียมปักหลักที่ทำเนียบรัฐบาล
ล่าสุด มวลชนหลายกลุ่มร่วมเดินขบวนเข้าสู่อาคารรัฐสภา อาทิ คปท., ศปปส., กองทัพธรรม ฯลฯ เพื่อยื่นหนังสือต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานผู้แทนราษฎร
ด้าน นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน กดดันไปถึงนายวันมูหะมัดนอร์ ว่า “อยากให้ท่านมองหน้าชาวมุสลิม โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เลือกท่านมา ว่าบ่อนกาสิโนเขาต้องการหรือไม่ ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโส เป็นประธานฝ่ายนิติบัญญัติ ต้องกล้าเตือนนายกฯ และพ่อของนายกฯ ว่า บ้านเมืองจะพังจากบ่อนกาสิโน”
ขณะที่ภาคประชาสังคม อาทิ สภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย กลุ่มเพื่อนมหิดลเพื่อสังคม ชมรมแพทย์อาวุโสและบุคลากรทางการแพทย์ ออกแถลงการณ์ต่อต้าน
เช่นเดียวกับ อดีต สว.บิ๊กเนม กว่า 191 คน นำโดย พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีตประธาน สว. ชุด 2543 พล.อ.ธีรเดช มีเพียร อดีตประธาน สว. ชุด 2554 นายพรเพชร วิชิตชลชัย อดีตประธาน ส.ชุด 2562 ร่วมออกแถลงการณ์ถึงประธานสภาฯ รวมถึงหัวหน้าของทุกพรรคการเมืองคัดค้านเช่นกัน
รวมถึงพรรคพลังประชารัฐเองก็ประกาศลั่นว่า พร้อมลงถนนร่วมกับมวลชน หากพ่ายแพ้ในสภาฯ ตลอดจนบรรดาอดีต สว.จากหลายชุด ก็มีการร่วมลงชื่อด้วย
บานปลายไปถึงการถกเถียงกันระหว่าง ‘พรรคเพื่อไทย’ และ ‘พรรคประชาชน’ เป็นเวลานาน ก่อนการพิจารณาญัตติแผ่นดินไหว แต่พรรคเพื่อไทยก็ขอเสนอเปลี่ยนระเบียบวาระ เพื่อเลื่อนญัตติพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวขึ้นมาในวันที่ 9 เม.ย.ก่อน หรือคือการลัดคิวร่างกฎหมายอื่นที่ยังค้างอยู่ในสภา เพื่อให้ทันก่อนปิดสมัยการประชุมนี้ จนถึงขั้นที่นายวันมูหะมัดนอร์ต้องลุกขึ้นยืน เพื่อควบคุมการประชุม
สะท้อนถึงความเร่งรีบเกินจำเป็นของพรรคเพื่อไทย
แม้ในมุมการเมือง ภายหลังปรากฏภาพการหารือ ณ บ้านจันทร์ส่องหล้า ที่ดูเหมือนจะมีการตกลงผลประโยชน์กันได้แล้วระหว่าง ‘พรรคเพื่อไทย’ และ ‘พรรคภูมิใจไทย’
จากการที่ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นั่งประธานคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร เพื่อเป็นตัวกลางประสานงาน โดยให้การอนุญาตในส่วนการพนันบัญชี ก. อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง
และก่อนหน้านี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ลงนาม เสนอตัวขอให้ ‘กระทรวงมหาดไทย’ ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของตน ขอจัดการการอนุญาตในส่วนการพนัน บัญชี ข. และเสนอปรับกฎและระเบียบการพนันออนไลน์ เพื่อให้สามารถนำขึ้นมาบนดินได้นั้น
แต่เป็นที่น่าสนใจว่า กลุ่ม สว.สีน้ำเงิน หลายคนออกตัวไม่สนับสนุน ซึ่งหมายถึงจำนวนตัวเลขกว่าครึ่งของ สว.ทั้งหมด ในจุดที่ยังเป็นปัญหาหลักมาเสมอ คือ ‘กาสิโน’ โดยระบุว่า ยังไม่ควรนำร่างกฎหมายฉบับนี้เข้ามาพิจารณาในเวลานี้ แต่ควรส่งให้คณะรัฐมนตรี หรือคณะกรรมกฤษฎีกานำไปทบทวนเพื่อปรับปรุงก่อน แล้วค่อยนำเข้ามาภายหลัง
ล่าสุดความเคลื่อนไหวของ สว.ในการประชุมวุฒิสภา วันที่ 8 เม.ย.ที่จะถึงนี้ นายสรชาติ วิชยสุวรรณพรหม สว. ได้เสนอญัตติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร และนายวีระพันธ์ สุวรรณนามัย สว. ก็ได้เสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาผลกระทบจากการดำเนินการเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวด้วย
โดย นายสรชาติ ผู้เคยเป็นอดีต สส.หนองบัวลำภู พรรคความหวังใหม่ 2 สมัย อดีตคณะทำงานของ รมว.การคลัง ในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และเคยลงสมัคร สส.ในนามพรรคภูมิใจไทย มองว่าร่างกฎหมายที่เคยศึกษาที่ผ่านมาไม่มีความชัดเจน มีการนำเสนอในลักษณะนี้ สมัยที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งมาแล้ว แต่กลับมีการรีบร้อนจะทำในขณะนี้
พร้อมเปิดเผยว่า จากการประชุมวิปวุฒิสภาล่าสุด สว.มองตรงกันว่า ควรจะมีการศึกษาใหม่ เพื่อให้ครอบคลุมรอบด้าน เนื่องจากยังไม่เชื่อใจร่างกฎหมายฉบับนี้
ก่อนยอมรับว่า การหารือในที่ประชุมวุฒิสภา ที่มีการเสนอญัตติขึ้นมานั้น เพื่อดักหน้าก่อนการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวของสภาฯ ในวันที่ 9 เม.ย. จะได้จัดทำข้อเสนอส่งไปที่ ครม.และรัฐบาลก่อน
นายสรชาติ ยังยืนยันว่า หากกฎหมายผ่านจากชั้น สส.แล้ว แต่ สว.ก็จะให้แก้ตามรายงานที่ สว.ได้ศึกษาไว้
หากยึดตามคำพูดข้างต้น ก็หมายความว่า แม้ สว.ไม่มีอำนาจเพียงพอในการแก้ไขตัวบทกฎหมาย แต่สามารถตีกลับมายังชั้น สส.ได้นั้น ก็ยิ่งมีแนวโน้มว่า เมื่อร่างถูกกลับมาอีกรอบ ‘พรรคภูมิใจไทย’ จะได้โอกาสต่อรองครั้งใหม่ ในการแก้ไขรายละเอียดบางส่วนได้ตามต้องการ
เพราะหากรัฐบาลจะเดินเองตามใจ คงไม่วายซ้ำรอยเมื่อครั้งพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่พรรคภูมิใจไทยและ สว.สีน้ำเงินไม่เข้าร่วมการพิจารณา ยื้อเวลา แขวนร่างกฎหมายไว้ จนกว่าจะได้ผลประโยชน์สมใจ
คงต้องติดตามกันต่อว่า การเจรจาตกลงผลประโยชน์ในเกมการเมืองจะได้ข้อยุติที่ตรงไหน หรือพรรคเพื่อไทยจะสามารถใช้ช่องทางใดเพื่อฝ่ากระแสต้านจนถึงฝั่งได้หรือไม่?.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
เอาแล้ว 'จตุพร' เตือน นายกฯหนู แบ่งแยกเยียวยาศพน้ำท่วม 2 ล้าน ระวังทำรัฐบาลพัง
'จตุพร' เตือน นายกฯหนู แบ่งแยกเยียวยาศพน้ำท่วม 2 ล้านระวังทำรัฐบาลพัง แนะน้ำท่วมใต้จากพายุชื่อเหมือนกันต้องเป็นธรรม ชดเชยเท่ากัน อย่าคิดแบบเขลาๆ แถเอาแต่สถานการณ์ฉุกเฉินมาอ้าง จะเกิดเหตุไม่พอใจ ลุกลามไปกันใหญ่
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน


