‘พรรคกล้าธรรม’ ภายใต้แบรนด์ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา ประธานที่ปรึกษาพรรค ซึ่งมี ‘อ.แหม่ม’ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าที่หัวหน้าพรรค เป็นหนึ่งในพรรคการเมืองที่เริ่มขยับเตรียมพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง แม้จะยังเหลือระยะเวลาอีกนานกว่าจะถึงปี 70 ในกรณีที่รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อยู่เต็มเทอม
เป็นการทำพรรคให้มีความพร้อมตลอดเวลา ชนิดที่ว่า หากกรรมการเป่านกหวีดลงสนาม ‘พรรคกล้าธรรม’ พร้อมส่งผู้เล่นลงไปแข่งทันที
มองยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรมในการเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่ได้หวังเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ต้องการเป็น ‘ตัวแปร’ ที่สำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล เฉกเช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทยของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าค่ายสีน้ำเงิน
นอกจากเป้าประสงค์ในการร่วมรัฐบาล พรรคกล้าธรรมยังต้องการจะได้คุมกระทรวงสำคัญ เหมือนกับครั้งนี้ที่ได้คุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แบบเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีว่าการ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการอีก 2 คน
ครั้งนี้อย่างน้อยต้องได้เท่านี้ หรือมากกว่านี้
เป้าหมายในครั้งหน้าของพวกเขาคือ การรักษาพื้นที่เดิมที่มี สส. อย่างเช่นเมืองหลวงของพรรคอย่าง จ.พะเยา ที่หากไม่สามารถเหมา สส.ยกจังหวัดได้อีก คือ ‘ขาดทุน’
เขต 1 กำแพงเพชร ของ ‘ไผ่ ลิกค์’ เลขาธิการพรรคกล้าธรรม เขตเลือกตั้งใน จ.ตากของ ‘ภาคภูมิ บูลย์ประมุข’ เขตเลือกตั้งใน จ.ฉะเชิงเทรา ของ ‘อรรถกร ศิริลัทยากร’ นายทะเบียนพรรค 3 มือทำงานคนสนิทของ ร.อ.ธรรมนัส ที่มีกฎข้อเดียวคือ ‘ห้ามแพ้’
รวมไปถึงการรักษาพื้นที่เดิมของ สส.ในพรรคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ รวมๆ 20 คน
ขณะเดียวกัน พรรคกล้าธรรมพยายามมองหาพื้นที่ใหม่ๆ ที่ไม่ไปทับซ้อนกับ ‘พรรคเพื่อไทย’ ในละแวกภาคเหนือและอีสาน
หากใครสังเกตการลงพื้นที่ร่วมกันระหว่าง ร.อ.ธรรมนัส กับนางนฤมล ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา จะเห็นว่าไม่ได้เป็นการลงพื้นที่ตามปกติของ รมว.เกษตรและสหกรณ์ หากแต่เป็นการลงพื้นที่แบบมี ‘ยุทธศาสตร์’
ร.อ.ธรรมนัส และนางนฤมล ไม่ได้ลงพื้นที่แบบโดดเดี่ยว หากแต่มีการขน สส.และนักการเมืองในพรรคกล้าธรรมลงไปด้วย หากใครไม่รู้จะคิดว่าเป็นฤดูหาเสียงแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น แต่ละจังหวัดที่ไปไม่ได้ไปแบบสุ่มๆ หรือเอาสะดวก หากแต่มีเป้าหมายซ่อนไว้ อย่างเช่น จ.หนองคาย และบึงกาฬ ในช่วงที่ผ่านมา
พรรคกล้าธรรมไม่มี สส.ใน 2 จังหวัดนี้ และในขณะเดียวกัน เป็น 2 จังหวัดที่พรรคเพื่อไทยไม่สามารถกวาด สส.ยกจังหวัดได้เหมือนในอดีตอีกแล้ว
การเลือกตั้ง สส. จ.หนองคาย เมื่อปี 2566 พรรคพลังประชารัฐของ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เจาะได้ 1 ที่นั่ง ในเขตตัวเมือง ซึ่งมีการมองกันว่า พรรคกล้าธรรมเล็งจะสอยในเขตดังกล่าว ซึ่งไม่ทับซ้อนกับพรรคเพื่อไทย
ขณะที่ จ.บึงกาฬ จังหวัดนี้ ‘ตระกูลทองศรี’ ของ ‘เสี่ยป้อม’ นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย และแกนนำพรรคภูมิใจไทย ลูกพี่ลูกน้องของนายเนวิน ชิดชอบ สถาปนาความเป็นบ้านใหญ่มาหลายปีแล้ว
การเลือกตั้ง สส.เมื่อปี 66 พรรคภูมิใจไทยคว้ามา 2 ที่นั่ง จาก 3 ที่นั่ง ขณะที่ศึกเลือกตั้งนายก อบจ. ‘แว่นฟ้า ทองศรี’ ภรรยาของนายทรงศักดิ์ ก็ป้องกันแชมป์ได้แบบสบายๆ
‘บ้านใหญ่ทองศรี’ บารมีเบ่งบาน ถึงขนาดว่า การเลือกตั้งซ่อม สส.บึงกาฬที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยยังตัดสินใจไม่ส่งคนลงแข่ง จนค่ายสีน้ำเงินเข้าวินคนเดียวแบบชิลๆ
ซึ่งตอนที่ ร.อ.ธรรมนัสลงไป ปรากฏภาพนายนิพนธ์ คนขยัน สส.บึงกาฬ หนึ่งเดียวของพรรคเพื่อไทย นั่งอยู่ข้างกายผู้กองคนดัง
สนามนี้พรรคเพื่อไทยไม่ทุ่ม เพราะรู้ว่าล้มน้ำเงินยาก แต่พรรคกล้าธรรมของ ร.อ.ธรรมนัสใช้ช่องว่างตรงนี้มาหาที่นั่งเพิ่ม ขันอาสาปะทะกับกองกำลังสีน้ำเงิน
หรือที่ จ.ขอนแก่น ซึ่งพรรคกล้าธรรมลงไปจัดตั้งสาขาพรรคล่าสุด พวกเขาไม่ได้คิดไปแข่งกับพรรคเพื่อไทย แต่ต้องการรักษาเก้าอี้ของนายเอกราช ช่างเหลา สส.ขอนแก่น ที่กำลังจะย้ายจากพรรคภูมิใจไทยมาอยู่กับพรรคตามกฎหมาย รวมถึงพื้นที่ที่ตระกูลช่างเหลาเคยเป็นแชมป์อยู่เท่านั้น
เรื่อยไปถึง จ.ชัยภูมิ ที่พรรคกล้าธรรมหมายมั่นมากกว่า 2 ที่นั่งแล้ว หลัง ‘ตระกูลโล่ห์วีระ’ และ ‘ตระกูลจังหวะ’ ซึ่งหอบผ้าตามมาจากพรรคพลังประชารัฐมาอยู่กับมุ้งผู้กอง
เรียกว่า ในภาคอีสาน เขตไหนไม่มี สส.เดิมของพรรคเพื่อไทย พรรคกล้าธรรมรับบทไปต่อสู้
ชนิดเดียวกับพื้นที่ภาคใต้ที่ไม่ได้เป็นเป้าหมายของพรรคเพื่อไทย พรรคกล้าธรรม ตั้งใจจะไปร่วมวงแข่งกับพรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐด้วย
พรรคกล้าธรรมเป็นพรรคที่ไม่ได้โดดเด่นเรื่องกระแส การต่อสู้ที่ผ่านมาเมื่อครั้งอยู่ใต้ชายคาพรรคพลังประชารัฐ เป็นไปในลักษณะทุ่มทุนสร้าง หากพื้นที่ไหนมีความหวัง หรือคู่แข่งไม่ได้แข็งแกร่ง
ครั้งนี้น่าจะใช้ยุทธศาสตร์นั้นเช่นกัน โดยเลือกผู้สมัคร สส.ที่แข็งในพื้นที่ แล้วเติมพลังภายในของผู้กอง และเสบียงกรังเข้าไปเสริม
เป้าหมายอันดับแรกต้องไม่น้อยกว่าของเดิมที่มีอยู่ เพื่อรักษาสถานะความเป็นตัวแปร หรือได้มากกว่าเดิมเพื่อให้เพิ่มสัดส่วนในคณะรัฐมนตรี
ไม่ใช่พรรคสาขาของพรรคเพื่อไทยเหมือนกับพรรคร่วมบางพรรค แต่เป็นเหมือนพรรคพันธมิตรที่นัดกันไว้ตรง ‘เส้นชัย’.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
หยิกเล็บเจ็บเนื้อ! 'ภท.-พท.' โต้เดือดพัวพัน 'เบน สมิธ'
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กรณีเบน สมิธ : ภูมิใจไทย-เพื่อไทย หยิกเล็บเจ็บเนื้อ
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'โรม' ไล่บี้นายกฯ ปลด 'ธรรมนัส' พ้นรัฐบาล หลัง ปปง. ยึดทรัพย์ 'เบน สมิธ'
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ระบุถึงกรณีที่ ปปง. ยึดทรัพย์ยิม เลียก-เบน สมิธ หรือเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
สงขลาเดือด! ผู้ประสบภัยน้ำท่วมปะฉะดะ 'สส.เขต 4'
สงขลาระอุ! ดรามาเดือดกลางโซเชียล หลังชาวคาบสมุทรสทิงพระติดน้ำท่วม 10 วัน 'สส.เขต 4' คอมเมนต์กลับจนปะฉะดะบนเฟซบุ๊ก


