หลังผ่านพ้นวันหยุดยาวราชการ 4 วันติดต่อกัน 9-12 พ.ค. คาดว่าเมื่อเข้าสู่โหมดปกติ ในสัปดาห์นี้ คงได้เห็นแอ็กชันมันส์ๆ ของ สว.สีน้ำเงิน ที่คือกลุ่มสมาชิกวุฒิสภาส่วนใหญ่ที่อยู่ใน 55 รายชื่อ สว.ที่ถูกคณะอนุกรรมการไต่สวนของ กกต.และดีเอสไอออกหมายเรียกให้มาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ในสัปดาห์หน้าช่วง 19-21 พ.ค. ที่สำนักงาน กกต.
กรณีอนุไต่สวน กกต.และดีเอสไอ เห็นว่า สว.ทั้ง 55 คน มีเหตุอันควรสงสัยว่าได้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561
มีรายงานว่า ช่วงหยุดยาว 3 วันที่ผ่านมา 9-11 พ.ค. สว.ในกลุ่ม 55 รายชื่อ มีการโทรศัพท์พูดคุยและคุยกันทางไลน์ส่วนตัวกันตลอดทั้ง 3 วัน เพื่อหารือการเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าชี้แจงกับอนุกรรมการไต่สวนของ กกต.ในสัปดาห์หน้า
ข่าวจาก สว.สีน้ำเงินบางส่วนให้ข้อมูลว่า มีการหารือกันว่า เนื่องจากประเด็นข้อกล่าวหาที่ทั้ง 55 คนถูก กกต.-ดีเอสไอเรียกไป พบว่าในหนังสือเรียกมีเนื้อหาเหมือนกันหมด เท่ากับว่าโดนเรื่องเดียวกัน ดังนั้นจึงมีการพูดคุยกันว่า จะนัดประชุมแบบไม่เป็นทางการในสัปดาห์นี้ เพื่อเตรียมความพร้อมในประเด็นที่จะไปชี้แจงกับอนุ กกต. รวมถึงจะหารือเรื่องสมควรต้องมีมาตรการตอบโต้ทางอนุกรรมการ กกต.และดีเอสไอหรือไม่ เช่น ยื่นร้องเรียนเอาผิด กกต.ต่อ ป.ป.ช.ว่าส่งหนังสือดังกล่าวข้ามขั้นตอนปกติ
ข่าว สว.สีน้ำเงินให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า มีการคุยกันว่า เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน จะขอนัดหารือในวันจันทร์ที่ 12 พ.ค. ดีหรือไม่ โดยนัดเจอที่รัฐสภา แม้เป็นวันหยุดราชการ แต่ก็จะเปิดห้องทำงานเพื่อพูดคุย แต่ สว.บางส่วนทักท้วงว่า เป็นการนัดหมายเร่งด่วน คงไปไม่ทัน เพราะติดไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลในพื้นที่ต่างจังหวัด ในวันอาทิตย์ที่ 11 พ.ค. หากจะนัดประชุมวันจันทร์ที่ 12 พ.ค. คงขอเป็นช่วงเย็น และเสนอว่าควรไปประชุมที่อื่นที่ไม่ใช่รัฐสภา อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อเสนอแนะว่า ควรนัดคุยวันอังคารที่ 13 พ.ค. ที่ตึกวุฒิสภา ที่เป็นวันทำการปกติ จะเหมาะสมกว่า เป็นต้น
กระนั้นก็มีข่าวบางกระแสอ้างว่า แต่สำหรับระดับ คีย์แมน ของ สว.สีน้ำเงินระดับครีมๆ มีการคุยกันแบบไม่เป็นทางการว่า คงจะมีการนัดคุยกับนักการเมืองคนดัง ซึ่งคนรู้กันดีว่าเป็นผู้มากบารมีของ สว.สีน้ำเงิน ในเร็ววันนี้ที่เซฟเฮาส์ย่านซอยรางน้ำ ที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นศูนย์บัญชาการทางการเมืองของ สว.สีน้ำเงินตั้งแต่หลังการเลือก สว.เสร็จสิ้นลงเมื่อปี 2567
ซึ่งเหตุที่ สว.สีน้ำเงินร้อนรุ่มยิ่งนักกับการถูกอนุกรรมการไต่สวนของ กกต.-ดีเอสไอเรียกไปครั้งนี้ เพราะจะพบว่า ดีเอสไอ-อนุ กกต.เล่นแรง ถึงขั้นชนกับระดับแกนนำ สว.สีน้ำเงิน-บิ๊กสภาสูง เพราะ สว.ที่ถูกเรียกไป ล้วนเป็นระดับคีย์แมนวุฒิสภา และหัวแถวของ สว.สีน้ำเงินทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นระดับบิ๊กสุดคือ ประธานวุฒิสภา มงคล สุระสัจจะ ไล่เรียงลงมาถึง บิ๊กเกรียง พลเอกเกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1
รวมถึงประธานคณะกรรมาธิการสามัญ วุฒิสภาหลายคนก็โดนด้วย อาทิ “พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร ประธานกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต” ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีบทบาทสูงใน สว.ชุดปัจจุบัน โดยเฉพาะการเป็น มือกฎหมายให้กับกลุ่ม สว.สีน้ำเงิน ในการ ยืนซด-แลกหมัด กับ ดีเอสไอ-ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ ในฐานะประธานบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม, พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ
เห็นได้จากบทบาทในการเป็นหัวหอกในการล่าชื่อ สว.ไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้เอาผิดอธิบดีดีเอสไอ-ภูมิธรรม และ พ.ต.อ.ทวี และแค่นั้นไม่พอ ยังล่าชื่อ สว.ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เอาผิด ภูมิธรรม-พ.ต.อ.ทวี ข้อหาฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม กรณีใช้อำนาจแทรกแซงบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษให้เข้าสอบสวนการเลือก สว. ซึ่งตอนนี้ศาล รธน.รับคำร้องไว้วินิจฉัย
นอกจากนี้ก็ยังมีแกนนำ สว.สีน้ำเงินที่เป็นประธาน กมธ.สามัญอีกหลายคนที่อยู่ในโผ โดนอนุ กกต.เรียก เข้าห้องเย็น 19-21 พ.ค.
ไม่ว่าจะเป็น อลงกต วรกี ปธ.กมธ.ติดตามบริหารงบประมาณ ชีวะภาพ ชีวะธรรม ปธ.กมธ.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ปธ.กมธ.สาธารณสุข สายตรงเนวิน ชิดชอบ พล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสาย อดีต ผบก.ตำรวจภูธรบุรีรัมย์ สายตรงเนวิน ชิดชอบ ปธ.กมธ.กฎหมายและการยุติธรรม วุฒิชาติ กัลยาณมิตร ปธ.กมธ.คมนาคม และเลขานุการวิปวุฒิสภา สายตรงเนวินและศักดิ์สยาม ชิดชอบ วิรัตน์ รักษ์พันธ์ ปธ.กมธ.แรงงาน พิศูจน์ รัตนวงศ์ ปธ.กมธ.การท่องเที่ยวและกีฬา พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา ปธ.กมธ.ทหารและความมั่นคงของรัฐ เป็นต้น
จะเห็นได้ว่ารายชื่อข้างต้นล้วนเป็นระดับบิ๊ก สว. แต่ดีเอสไอก็ไม่ไว้หน้า ส่งหมายเรียกและให้เจ้าหน้าที่เอาหนังสือไปติดหน้าบ้านให้อับอายไปตามๆ กัน จนหลายคนออกมาวิจารณ์ดีเอสไอเล่นใหญ่เกินเบอร์
ปฏิบัติการรุกไล่คดีฮั้ว สว.จะพบว่า บทบาทหลักไปอยู่ที่ดีเอสไอ ทั้งในชั้นการทำงานร่วมกับอนุกรรมการไต่สวนของ กกต.และการสอบสวนของดีเอสไอเอง ที่สอบเอาผิดเรื่องฟอกเงินและอั้งยี่ ที่ดีเอสไอบอกว่ามีความคืบหน้าเป็นระยะ ใกล้ปิดสำนวนในอนาคตอันใกล้
ทำให้ถึงตอนนี้การสอบสวนคดีฮั้วการเลือก สว. พบว่าใกล้ถึงจุดไคลแมกซ์เข้าไปทุกที แม้กระบวนการพิจารณาในชั้น กกต.ยังเหลือเวลาอีกพอสมควรกว่าจะส่งเรื่องให้ กกต.กลางเพื่อลงมติว่าจะส่งคำร้องถึงศาลฎีกาฯ เพื่อให้ศาลฎีกาฯ ตัดสินให้พ้นจากการเป็น สว.
อย่างไรก็ตาม หาก กกต.เร่งพิจารณาคำร้องเรื่องนี้ ก็อาจทำให้คดีฮั้วเลือก สว.ปิดเกมเร็ว ซึ่งหาก กกต.ส่งเรื่องไปศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ทางศาลฎีกาฯ ยังไงก็รับคำร้องไว้พิจารณาแน่นอน และคงสั่งให้ สว.ทั้งหมดหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน
โดยหากสุดท้ายเรื่องนี้มี สว.โดนยื่นคำร้องให้พ้นจากการเป็น สว.ระดับ 100 คนขึ้นไป ที่ก็คือเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนเสียง สว. 200 คน แล้วต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ที่กว่าคดีจะจบอย่างน้อยก็ร่วมปี ก็อาจทำให้เสียง สว.ที่มีอยู่มีปัญหา จนไม่สามารถพิจารณากฎหมายที่ส่งมาจากสภาฯ ได้ รวมถึงอาจไม่สามารถให้ความเห็นชอบกรรมการองค์กรอิสระ เช่น ป.ป.ช.ใหม่ 3 ชื่อ และบุคคลสำคัญในองค์กรอื่นๆ ได้ เช่น อัยการสูงสุดคนใหม่ อิทธิพร แก้วทิพย์ หรือตุลาการศาล รธน.ใหม่ 2 ชื่อ เป็นต้น
แค่นี้วุฒิสภาที่เป็นกลไกฝ่ายนิติบัญญัติก็เข้าสู่ภาวะ “สุญญากาศ” ส่งผลทำให้การเมืองปั่นป่วนตามมา!!.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
ดีเอสไอเผยคืบหน้าคดีคุกวีไอพี อธิบดีราชทัณฑ์ ยันขรก.ทุจริตต้องถูกลงโทษ
"ดีเอสไอ" เร่งสอบเส้นทางเงินผู้ต้องขังชาวจีน พร้อมเรียกเจ้าหน้าที่และอดีต ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ให้ปากคำครบทุกฝ่าย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก


