ฉากทัศน์ของรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” ถูกประเมินแล้วว่าสามารถลากต่อได้แบบวันต่อวัน หลังความชอบธรรมหมดสิ้น จากคลิปเสียงกับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา
ไม่เพียงคนไทยที่ทราบ แม้แต่ สมเด็จฮุน เซน ยังรับรู้ โดยโพสต์ว่า “ผมคาดว่าประเทศไทยจะมีนายกฯ คนใหม่ภายใน 3 เดือนข้างหน้า และผมก็ทราบแล้วว่าเป็นใคร”
แต่ “นายกฯ อิ๊งค์” กลับไม่รู้สำนึก แถมท้าทายประชาชน โดยกล่าวอ้างว่า “อย่างคลิปเสียงที่หลุดออกมา ตัวดิฉันก็ไม่ได้อะไร แล้วดิฉันก็ไม่ได้ทำผิดประเทศไทยเสียอะไร”
ท่ามกลางไทม์ไลน์ทางการเมืองต้องเผชิญกับสารพัดปัญหาทางการเมือง ในสภาวะภูมิต้านรัฐบาลต่ำเตี่ยเรี่ยดิน
โดยเฉพาะในวันที่ 1 ก.ค. ต้องจับตาว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับวินิจฉัย หลัง 36 สว.ยื่นให้ตรวจสอบคลิปเสียงดังกล่าว ว่านายกฯ มีการกระทำขัดรัฐธรรมนูญ ไม่ซื่อสัตย์สุจริต และ ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง พร้อมขอให้สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ จากปมคลิปเสียงหรือไม่
เนื่องจากคณะ สว.มองว่า เป็นการกระทำที่เสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีตำแหน่งนายกฯ (บ่งบอกความเป็นคนทรยศขายชาติ) เพราะใช้อำนาจที่มิชอบ โดยนำเอาผลประโยชน์ส่วนตัวมาปะปนกับผลประโยชน์ของรัฐ และการกระทำดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนผลประโยชน์ของสาธารณะ
รวมถึงการลบหลู่แม่ทัพภาค 2 เป็นฝ่ายตรงข้าม แสดงว่านายกฯ และฮุน เซน เป็นพวกเดียวกัน และเป็นฝ่ายตรงข้ามกับแม่ทัพภาค 2 มีค่าเท่ากับนายกฯ เข้าข้างฝ่ายกัมพูชา รวมถึงกรณีนายกฯ ขอให้ฮุน เซน ช่วยเหลือ จัดฉาก และสร้างภาพว่าทำความตกลงกับนายกฯ ในเรื่องเปิด-ปิดด่านเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง
“นายจรัญ ภักดีธนากุล” อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงทิศทางคดีของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 1 ก.ค.ว่า กรณีนี้เห็นว่าค่อนไปในทำนองเดียวกันกับอดีตนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เคยถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะเหตุว่ามันกระทบประเด็นเรื่องความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศ เกี่ยวกับพื้นที่ที่อ้างสิทธิขัดแย้งกันอยู่ จนกระทั่งมีการปะทะกันทางทหารเล็กๆ แต่มันพร้อมที่จะลุกลามบานปลายได้
“แล้วถ้าไม่มีมาตรการชั่วคราว ก็ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงต่อความแตกแยกของความสามัคคีในประเทศเราเอง เพราะอาจจะมีถึงข้อมูลให้เห็นว่า มีเหตุอันควรสงสัยแล้วว่า ฝ่ายทหารกับฝ่ายรัฐบาลขัดแย้งกันหรือไม่ เป็นคนละพวก คนละฝั่งกันหรือไม่ ฉะนั้นค่อนข้างเอียงไปในทางที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีกรณีตามที่ สว.ร้องขอเข้ามา” อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกล่าว
อย่างไรก็ตาม หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง และสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จะเป็นสัญญาณทางการเมืองและกำหนดอนาคตของรัฐบาลเพื่อไทยไปในทางลบ
รวมถึงยังส่งผลไปถึงคำร้องต่อองค์กรอิสระต่างๆ อย่างเช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตั้งแท่นรองรับเรื่องนี้ไปแล้ว โดยเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.2568 คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติเอกฉันท์รับเรื่องคลิปเสียงเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบเบื้องต้น หลังพบอาจเข้าข่ายการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
ป.ป.ช.กำหนดให้ดำเนินการตรวจสอบโดยเร็ว โดยให้ถอดเทปเสียงพร้อมแปลภาษากัมพูชาอย่างถูกต้อง สอบพยานที่เกี่ยวข้อง และศึกษาข้อกฎหมายโดยเทียบเคียงกับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ขาดคุณสมบัติจากการแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี
ขณะที่ในวันที่ 28 มิ.ย.ต้องจับตาว่า กลุ่มพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย นำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นายนิติธร ล้ำเหลือ นายพิชิต ไชยมงคล นายนัสเซอร์ ยีหมะ นายแก้วสรร อติโพธิ นายใจเพชร กล้าจน นัดชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แสดงพลังขับไล่รัฐบาลขายชาติ ว่าจะจุดติดหรือไม่ โดยประเมินว่าจะมีมวลชนมามากน้อยเพียงใด จะมีการชุมนุมขยายผล ขยายตัวอย่างกว้างขวาง และยืดเยื้อได้หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจะส่งผลไปถึงเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างแน่นอน
ทางด้านสภาฯ ที่จะเปิดสมัยประชุมในวันที่ 3 ก.ค. พรรคภูมิใจไทยในฐานะฝ่ายค้าน เปิดฉากเป็นโต้โผหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ต่อ “นายกฯ และ ครม.” หลังเรื่องนี้เป็นอีกประเด็นใหญ่ที่พรรคสีน้ำเงินถอนตัวจากรัฐบาล โดยต้องรวบรวมเสียงให้ได้ 99 คนขึ้นไป
ในส่วนของพรรคภูมิใจไทย 69 เสียง และพรรคประชาชน 19 เสียง คงไม่มีปัญหา เพราะมีจุดยืนคล้ายกันในการปกป้องอธิปไตย ส่วนเสียงพรรคประชาชน จำนวน 142 เสียง ขอเพียง 11 เสียง เพื่อให้ได้ตามเกณฑ์ซักฟอก ก็ต้องวัดใจว่าพลังส้มจะยอมหรือไม่ และหากไม่ร่วมยื่นซักฟอก จะถูกสังคมมองว่าช่วยอุ้มซากนายกฯ หรือรอดีลร่วมกับระบอบทักษิณ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
หากยื่นญัตติซักฟอกได้สำเร็จ ผลที่ตามมาจะปิดช่องยุบสภาฯ นอกจากนายกฯ จะถูกขึงพืดกลางสภาฯ ในข้อครหาขายชาติ พรรคร่วมยังถูกครหาสมรู้ร่วมคิด และเมื่อถึงเวลาลงมติ ต้องบริหารจัดการคุมเสียงให้ดี ไม่ให้แตกแถว เนื่องจากด้วยจำนวนเสียงรัฐบาลปริ่มน้ำ 261 เสียง จาก 495 เสียง โดยไม่ให้ต่ำกว่าเสียงกึ่งหนึ่ง 248 เสียง
มิเช่นนั้นอาจเป็นนายกฯ คนแรกในประวัติศาสตร์การเมือง ที่ถูกลงมติไม่ไว้วางใจและตายคาสภาฯ ไม่นับปัจจัยแทรกซ้อน เช่น ใครไม่พอใจจากปัญหาแบ่งชามข้าวไม่ลงตัวหรือไม่ มีงูเห่าพรรคแดงหรือไม่ หลังตอบคำถามชาวบ้านเรื่องปมขายชาติไม่ได้ รวมถึงจะมี สส.ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลจะใช้โอกาสนี้พลิกข้างหันมาเป็นวีรบุรุษประชาธิปไตยหรือไม่
โดยเฉพาะ สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ อาทิ “วิทยา แก้วภราดัย” “จุติ ไกรฤกษ์” และ 3 สส.ชุมพร ที่เคยร่วมชุมนุมกับชาวบ้านนับหมื่น ไล่นายกฯ ให้ลาออก รวมถึง 4 สส.พรรคประชาธิปัตย์ นำโดย “ชวน หลีกภัย” จะแหกมติ ไม่ยอมพายเรือให้นายกฯ ตระกูลชินนั่งหรือไม่
ด้วยสถานการณ์ที่กำลังรุกไล่ “แพทองธาร ชินวัตร” เหล่านี้ เชื่อว่าหาก “นายใหญ่” ประเมินแล้ว ลากต่อไม่ไหว คงไม่รอให้ถูกเชือด ตายคาเก้าอี้ หรือลาออก แต่จะชิง “ยุบสภาฯ” ถืออำนาจรักษาการ ขอไปเสี่ยงตายดาบหน้า.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
เอาแล้ว 'จตุพร' เตือน นายกฯหนู แบ่งแยกเยียวยาศพน้ำท่วม 2 ล้าน ระวังทำรัฐบาลพัง
'จตุพร' เตือน นายกฯหนู แบ่งแยกเยียวยาศพน้ำท่วม 2 ล้านระวังทำรัฐบาลพัง แนะน้ำท่วมใต้จากพายุชื่อเหมือนกันต้องเป็นธรรม ชดเชยเท่ากัน อย่าคิดแบบเขลาๆ แถเอาแต่สถานการณ์ฉุกเฉินมาอ้าง จะเกิดเหตุไม่พอใจ ลุกลามไปกันใหญ่
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน


