“ภูมิธรรม”เสี่ยงตายฟรี “เพื่อไทย”ส่อสูญสลาย

สถานการณ์การเมืองไทยกำลังร้อนแรงและซับซ้อน เมื่อวันที่ 3 ก.ย. พรรคประชาชน (ปชน.) ประกาศมติสนับสนุน “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 พร้อมรับ เงื่อนไขสำคัญ อาทิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การยุบสภาภายใน 4 เดือน ห้ามรวมเสียงข้างมากเพื่อจัดตั้งรัฐบาล และพรรคส้มจะไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่

“อนุทิน” ได้แถลงข่าวทันที พร้อมรายชื่อ สส. 146 คน ที่สนับสนุนเขา ประกอบด้วย พรรคภูมิใจไทย 68 คน พรรคกล้าธรรม 31 คน พรรคพลังประชารัฐ 17 คน พรรครวมไทยสร้างชาติ 16 คน พรรคเพื่อไทย 8 คน พรรคไทยสร้างไทย 3 คน และพรรคประชาธิปัตย์ 3 คน ทั้งหมดนี้เป็นเสียงสนับสนุนที่เพียงพอให้เดินหน้ากระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีได้ทันที

ขณะที่พรรคเพื่อไทยกลับตกอยู่ในสถานการณ์จนตรอก หลัง ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้ “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ส.ค. จากกรณีคลิปเสียงอังเคิล และส่งผลต่อสถานะของพรรคเพื่อไทยที่เสียศูนย์อย่างหนัก 

มีรายงานว่า “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร แสดงความไม่พอใจ หลังคนข้างกายย้ายข้าง “ไว้วางใจ ร.อ.ธรรมนัสมากเกินไป พี่ผิดไปแล้ว พี่ดูคนผิด”

ฉะนั้นเพื่อสกัดไม่ให้อำนาจหลุดมือ “ภูมิธรรม เวชยชัย” ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี จึงเดินเกมเสี่ยง ด้วยการ ยื่นทูลเกล้าฯ ถวายพระราชกฤษฎีกายุบสภา เมื่อค่ำวันที่ 2 กันยายน

โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อสกัดไม่ให้ “อนุทิน” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และยืดระยะเวลาการเป็นรัฐบาลรักษาการต่อไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ เช่นเดียวกับหวังดีลสร้างอำนาจต่อรอง 

อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าอาจเป็น “การกระทำที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท” เพราะยังไม่มีความชัดเจนทางกฎหมายว่ารักษาการนายกรัฐมนตรีมีอำนาจยุบสภาได้หรือไม่

 “ปกรณ์ นิลประพันธ์” เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ชี้ชัดว่า รักษาการ นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจยุบสภา เพราะการยุบสภาเป็นอำนาจเฉพาะตัวของนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งโดยสมบูรณ์และได้รับโปรดเกล้าฯ เท่านั้น

ยังมีหลักฐานสำคัญสนับสนุนความเห็นนี้ถูกปล่อยออกมา คือเอกสาร นร 0508/ว101 ของ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งระบุว่า การนำความกราบบังคมทูลใดๆ ต้องมีข้อมูลที่ยุติชัดเจน และดำเนินการด้วยความรอบคอบ เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาด และ “ไม่ก่อให้เกิดความระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท”

 “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” อดีตสมาชิกวุฒิสภา เตือนว่า หาก “ภูมิธรรม” เดินหน้ากระบวนการนี้ อาจเผชิญปัญหาทางกฎหมายอย่างร้ายแรง โดยจะมีการยื่นฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนพระราชกฤษฎีกายุบสภา รวมถึงร้องศาลรัฐธรรมนูญว่าการกระทำนี้ขัดต่อ มาตรา 3 วรรคสอง ซึ่งกำหนดให้รัฐสภา ครม. ศาล และองค์กรของรัฐต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน และ มาตรา 6 ที่ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการละเมิดพระมหากษัตริย์ หรือใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทางการเมือง

ความร้อนแรงของสถานการณ์เพิ่มสูงขึ้นในวันที่ 3 กันยายน เมื่อ “สุรทิน พิจารณ์” สส.พรรคประชาธิปไตยใหม่ และ “ไทกร พลสุวรรณ” นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เดินทางเข้าแจ้งความต่อ บก.ปปป. เพื่อเอาผิด  “ภูมิธรรม” ฐานละเมิด มาตรา 112

 “ไทกร” ให้เหตุผลว่า กรณี “ภูมิธรรม” ยื่นทูลเกล้าฯ ถวายยุบสภา ถือเป็นการ “มิบังควร” เพราะรักษาการนายกฯ ไม่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งยังส่อเจตนาจะใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทางการเมือง จึงต้องมีการดำเนินคดีเพื่อปกป้องสถาบันและหลักนิติธรรม

แม้จะเสียตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และสัญญาณต่างๆ ที่ออกมาไม่เป็นบวก แต่พรรคเพื่อไทยยังคงพยายามยื้อเกมอำนาจ แทนที่จะหมอบ

โดยให้ สส. 20 คน ยื่นเอกสารเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ลงวันที่ 29 สิงหาคม หวังโต้แย้งคำวินิจฉัยที่ทำให้ “แพทองธาร” ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตกเป็นโมฆะ 

แต่ในที่สุดปรากฏว่าเอกสารจริงระบุว่า โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “สราวุธ ทรงศิวิไล” เป็นตุลาการเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ทำให้ความพยายามนี้ของพรรคเพื่อไทย ที่พยายามดิ้นสู้สิ้นสุดลง

กลับมาที่การกระทำของ “ภูมิธรรม” หากพระราชกฤษฎีกายุบสภาได้รับโปรดเกล้าฯ ประเทศจะต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45-60 วัน

แต่หากยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ ประธานสภาฯ จะต้องพิจารณาว่าจะเดินหน้ากระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ต่อไปหรือไม่ เช่นเดียวกับการประชุมในสภา และ สส. ในวันที่ 3 ก.ย. ยังเดินหน้าทำงานต่อไปได้

ขณะเดียวกันในทางคู่ขนาน ต้องดูว่า สส.ที่เสียหายจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากระบวนการยุบสภา ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ เพื่อให้ปัญหาคลุมเครือได้ข้อยุติ  

ทั้งนี้ หากศาลรับพิจารณา และตัดสินว่าทูลเกล้าฯ ถวายผิดกฎหมาย แม้อาจทำให้การเลือกนายกฯ คนที่ 32 ล่าช้า แต่ขั้นตอนการเลือกนายกฯ ก็ดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย

หากเป็นเช่นนั้น  “ภูมิธรรม” นอกจากตายฟรีแทนนายใหญ่แล้ว ยังสุ่มเสี่ยงถูก ตัดสิทธิ์ทางการเมือง รวมถึงต้องเผชิญคดีอาญาต่างๆ ตามมาเป็นหางว่าว  

อีกทั้งยังอาจส่งผลเป็นโดมิโน คดีในศาลรัฐธรรมนูญ ที่ สว.สีน้ำเงินร้องว่า “ภูมิธรรม” และ “พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม ใช้อำนาจคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) แทรกแซงการตรวจสอบการเลือกตั้งวุฒิสภา ทั้งที่อำนาจเป็นของ กกต.ในทางลบด้วยหรือไม่  

ยังไม่อยากนึกถึงคดีชั้น 14 ที่ศาลฎีกาฯ จะตัดสินในวันที่ 9 กันยายน ว่า “นายใหญ่” จะมีใครติดคุกหรือหนีคดีหรือไม่ รวมถึงพรรคเพื่อไทยจะปิดฉากทางการเมืองหรือไม่ หลังท้าทายอำนาจและไม่ยอมรับสัญญาณทางการเมือง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน

'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้

'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก

'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง

นายกฯ ลั่นหากเกิดเหตุชายแดนหลังยุบสภา รัฐบาลรักษาการยังมีอำนาจสนับสนุนเต็มที่

นายกฯ ย้ำไม่มีปัจจัยบอกเหตุ ก็ต้องมีแผนป้องกัน โดยเฉพาะตามแนวชายแดน มั่นใจผู้ว่าฯ ดูแลได้ หากอยู่ในช่วงยุบสภา ปฎิเสธข่าวการเจรจาที่ออตตาวาไม่เป็นผล

เพื่อไทยกระอัก! 'อนุทิน' ย้อนเจ็บ มีภาพคู่ทักษิณเยอะ ไม่เห็นมีปัญหา

"อนุทิน" เหน็บ "สุริยะ-โฆษกเพื่อไทย" ไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ร่วมวง การสนทนาสำหรับผมต้องระดับสูงขึ้นไป ย้อนเจ็บภาพถ่ายคู่ทักษิณก็มีตั้งเยอะ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย