'สแกมเมอร์-รัฐธรรมนูญ' ต่อรองเพื่อเป้าหมายทางการเมือง

“แนวทางการปราบสแกมเมอร์ก็เหมือนถูกล้อมกรอบด้วยปัจจัยของผู้ปฏิบัติหรือหน่วยงานที่ตรวจสอบ ทำได้แค่ตั้งคณะอนุกรรมการ หรือลงนามเอ็มโอยูระหว่างหน่วยงานที่เกิดขึ้น เปิดอีเวนต์คอนเฟิร์มความเอาจริงเอาจังของรัฐบาลว่าไม่ได้เพิกเฉย หรือเกียร์ว่าง”

การเปิดเครือข่ายสแกมเมอร์ของพรรคประชาชนไม่ได้เกิดขึ้นช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาเท่านั้น แต่มีการเปิดประเด็นและนำไปอภิปรายในสภามาพักใหญ่ แต่ยังไม่ได้รับความสนใจในวงกว้าง หลังจากนั้นสื่อตะวันตกที่มีนัยเกี่ยวกับสหรัฐปล่อยข้อมูลออกมาเป็นซีรี่ส์มหากาพย์ ลากแผนผังเส้นทางขบวนการฟอกเงินจากฝั่งกัมพูชา สิงคโปร์ ไทย ลามเข้าสู่วงการเมืองไทย มีแนวโน้มเฉียดเข้าไปใกล้ มาสเตอร์มายด์ เข้าไปเรื่อยๆ

ปัญหาเรื่องสแกมเมอร์จึงไม่ได้ตีวงอยู่เฉพาะแก๊งสีเทาทำธุรกิจฉ้อฉลผิดกฎหมาย แต่ถูกใช้เป็นยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจในการค้ำยันกันในภูมิภาคนี้ กลายเป็นเหรียญสองด้านซึ่งไทยก็ต้องระมัดระวังและวางมาตรการในการแก้ไขปัญหาอย่างเอาจริงเอาจัง แต่นั่นย่อมเกิดผลกระทบในวงกว้างไปถึงเครือข่ายทางการเมือง

บทบาทของสหรัฐในการเข้าเป็นตัวกลางยุติศึกของ “ไทย-กัมพูชา” เริ่มไหลและลงลึกไปกว่าผู้ไกล่เกลี่ย แม้ด้านดีคือสร้างแรงสั่นสะเทือนต่ออิทธิพลสีเทา นำไปสู่การเปิดโปงเครือข่ายหลอกลวงเงินจากผู้บริสุทธิ์ทั่วโลก แต่ขณะเดียวกันก็อาจต้องแลกด้วยข้อเสนอที่งอกขึ้นมาใหม่อย่าง “แรร์เอิร์ธ” ที่สร้างความบรรลัยให้กับสภาวะแวดล้อมประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงภาคเหนือของไทย

 แม้วันนี้จะยังไม่มีอะไรเริ่มต้นในเรื่องแร่หายาก แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะเริ่มนับหนึ่งในการเปิดกว้างมากขึ้นจากข้อตกลงดังกล่าว ภายใต้การบีบคั้นเรื่องภาษีอีกชั้นหนึ่ง ดูแล้วก็น่าเห็นใจรัฐบาลของนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่อยู่ระหว่างเขาควายของความขัดแย้งและผลประโยชน์สามเส้าที่อยู่รอบตัว การที่ต้องลงนามเรื่อง “แรร์เอิร์ธ” อาจกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็ต้องทำเพื่อหยุดยั้งปฏิบัติการเปิดโปงสุดขอบฟ้าที่อาจจะพังกันทั้งขบวน

จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า สแกมเมอร์ ก็ถูกหยิบมาเป็นการ ต่อรอง ทางการเมือง ก่อนที่จะเข้าสู่สนามการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า ตาม MOA ระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน รวมถึงการพลิกเกมของเพื่อไทยที่พ่ายแพ้คะแนนชาตินิยมในศึกชายแดนไทย-กัมพูชา ผลพวงจากความขัดแย้งของ “ตระกูลชินวัตร” กับ “ตระกูลฮุน”

โดย “เพื่อไทย” ก็รอเวลาเก็บเกี่ยวความเสียหายจากการต่อรองของ “สีน้ำเงิน” และ “สีส้ม” ที่มีเป้าหมายของฝ่ายตนเป็นโจทย์ในใจอยู่แล้ว เพราะการเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อไทยต้องดิ้นสุดฤทธิ์เพื่อให้เก้าอี้ สส.ไม่น้อยไปกว่าเดิม ซึ่งเป็นไปได้ยากที่จะคงความนิยมได้เหมือนเดิม จากจังหวะก้าวของอดีตนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ที่เดินเกมผิดพลาด

หันมาดูท่าทีของนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ต้องรับมือกับความกดดันภายในฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาล อันเกิดจากพันธมิตรเสียงรัฐบาลอย่างพรรคกล้าธรรม นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งถูกท้าทายจากกระแสสังคม เพราะคนรอบตัวล้วนมีประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับข้อกล่าวหาในเรื่องเทาๆ แถม ร.อ.ธรรมนัสยังรักษาเอกสิทธิ์ในการแต่งตั้งคนที่มีคำถามร่วมทีม โดยที่นายกฯ หนูก็คงทำได้แค่ “ยิ้มแห้งๆ” ตอบคำถามสังคมรายวัน

ด้วยข้อจำกัดที่ต้องรักษาสัญญาสุภาพบุรุษ ไม่หักพันธมิตรทางการเมืองที่จับมือกันมาตั้งแต่ต้น จึงต้องออกตัวปกป้องเพื่อไม่ให้รัฐบาลเกิดปัญหาภายใน

พร้อมงัด อาวุธลับ ในการ ยุบสภา หากมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ปิดประตูไม่ยอมให้ “ด่าฟรี” และพร้อมจะล้างกระดานไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนด

ส่วนแนวทางการปราบ “สแกมเมอร์” ก็เหมือนถูกล้อมกรอบด้วยปัจจัยของผู้ปฏิบัติหรือหน่วยงานที่ตรวจสอบ ทำได้แค่ตั้งคณะอนุกรรมการ หรือลงนามเอ็มโอยูระหว่างหน่วยงานที่เกิดขึ้น เปิดอีเวนต์คอนเฟิร์มความเอาจริงเอาจังของรัฐบาลว่าไม่ได้เพิกเฉย หรือเกียร์ว่าง ต่างจากหลายประเทศที่ยึดทรัพย์ จับกุม

ร้อนถึงโฆษกรัฐบาล “สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ" ออกมาเปิดเผยสถิติการปราบแก๊งสแกมเมอร์ของรัฐบาลว่า ตลอดระยะเวลา 38 วันที่ดำเนินการมา มีรายงานการจับกุมเครือข่ายพนันออนไลน์ โดยมีการจับเคสใหญ่เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา มูลค่าหมุนเวียนต่อปีสูงถึง 15,000 ล้านบาท และล่าสุดที่จับกุมเมื่อวันก่อนพบว่ามีวงเงินหมุนเวียนสูงถึง 20,000 ล้านบาท เรียกได้ว่า 38 วันที่ผ่านมา จับเครือข่ายสแกมเมอร์ที่มีเงินหมุนเวียนรวมกว่า 35,000 ล้านบาท

ในขณะที่ พรรคประชาชน ซึ่งปักธงในการซักฟอก เปิดโปงเครือข่ายสีเทา พร้อมเปิดแนวรบไปยังองค์กรผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ผ่ายเส้นเงินลามเข้าสู่ต้นน้ำของกระบวนยุติธรรม โดยมี “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ส่งข้อมูลให้ พุ่งเป้าไปที่เส้นเลือดใหญ่ของอำนาจ และตัวละครที่เคยเป็นผู้เช็กบิลตัวเอง แฉเส้นทางเงินเทาที่หล่อเลี้ยงบางหน่วย ผ่านไปถึงครอบครัว คนใกล้ชิด ไม่ต่างจากตนเองที่เคยถูกตรวจสอบเปิดโปงมาในอดีต

เข้าทำนอง “ข้าชั่วเอ็งเลว” “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” สะท้อนภาพที่ประชาชนไม่เคยไว้วางใจวงการสีกากี ที่กำลังถูกอิทธิพลเงินบาปคืบคลาน กลืนกิน ตามจารีตของการช่วยเหลือ ตามน้ำ ใครๆ เขาก็ทำกัน มองเรื่องที่ไม่ถูกต้องเป็นเรื่องปกติของสังคมที่ต้องเป็น “หลิวลู่ลม”

ทางด้าน หัวหน้าเท้ง-ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ จากพรรคประชาชน ออกมาแสดงท่าทีขึงขัง โดยระบุว่า ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีไม่เคยมีท่าทีใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่าจริงจังในการปราบปรามสแกมเมอร์ นอกจากตั้งอนุกรรมการ แม้ว่าจะมีรัฐมนตรีถึง 2 คนใน ครม.ที่ถูกเชื่อมโยงว่าอาจมีสายสัมพันธ์กับเครือข่ายสแกมเมอร์ ในฐานะฝ่ายค้าน พยายามใช้ช่องทางกรรมาธิการติดตามตรวจสอบตลอด 1 เดือน แต่ก็ไม่ได้รับความร่วมมือจากบุคคลในรัฐบาล ไม่มีใครมาให้ข้อมูลแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า, นฤมล ภิญโญสินวัฒน์, หรือวรภัค ธันยาวงษ์ ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ปปง., ก.ล.ต. และตำรวจไซเบอร์ ก็ให้ความร่วมมืออย่างจำกัด ไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร

“การที่คุณอนุทินมาพูดวันนี้ว่าเซ็นเช็คเปล่าให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำไปตามอำนาจ จึงเท่ากับตอกย้ำว่ารัฐบาลจงใจเกียร์ว่าง ไม่มีการสั่งการอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้หน่วยงานราชการไม่กล้าขยับโดยปริยาย เพราะปรากฏเป็นข่าวทั่วไปว่าเรื่องนี้พัวพันกับบุคคลระดับสูงในรัฐบาล ผมจึงขอถามไปยังคุณอนุทินโดยตรงว่า ท่านจงใจเกียร์ว่างเพื่อให้เกิดสุญญากาศ เตะถ่วงการสืบสวนเครือข่ายทุนเทาสแกมเมอร์ในไทยหรือไม่" 

นั่นเป็นท่าทีของ “หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน” ที่ดูเหมือนจะไม่ออมมือในเรื่อง “สแกมเมอร์” และยังพุ่งเป้าในการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีดังกล่าวอย่างแข็งขัน

เกมเร็วของ “พรรคประชาชน” ยังถูกมองว่าเป็นการต่อรองให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเดินไปถึงเป้าหมายตามที่ตั้งใจไว้ เพราะนั่นทำให้กติกาในการเลือกตั้งอีก 4 ปีข้างหน้า สร้างความคาดหวังว่าจะเป็นเส้นทางของพรรคประชาชนที่เดินไปสู่การเป็นรัฐบาลตามกติกา และระบอบประชาธิปไตยในฝันอย่างที่อยากให้เป็น ภายใต้การปรับกระบวนท่า หลีกเลี่ยงปัจจัยการดันข้อเสนอแบบชนเพดานอย่างที่เคยทำ

เป้าหมายในการรุกรบไปสุดทางอย่างเอาเป็นเอาตายกับรัฐบาล เพื่อล้มเครือข่ายทุนเทา ยังเกิดอานิสงส์ในการ “ทอนกำลัง” กระสุนดินดำที่จะใช้ในการเลือกตั้ง นำพาบ้านใหญ่เข้าไปนั่งในสภา พร้อมไปกับการใช้แคมเปญเรื่อง “มีเราไม่มีเทา” เป็นธีมในการหาเสียง

แต่เฉพาะหน้า พรรคประชาชนมุ่งหวังในการดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เกิดขึ้นให้ได้ แต่ก็ไม่ปรากฏร่องรอยในการส่งสัญญาณ หรือปฏิกิริยาตอบโต้จากฝ่ายรัฐบาล 

อย่างเช่นกรณีวันศุกร์ที่ผ่านมา มีการประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม รัฐสภา ที่ได้กำหนดวาระประชุมเพื่อลงมติตัดสินในเนื้อหาของร่างมาตรา 256/1 ว่าด้วยองค์กรที่มีหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่าจะให้มีเฉพาะคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเท่านั้น หรือให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) และ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ ปรากฏว่าองค์ประชุมไม่ครบในช่วงที่จะมีการโหวต สะท้อนให้เห็นอาการ สะดุด ไม่ไหลลื่นเหมือนช่วงก่อนหน้านี้

จากนั้นก็มีท่าทีของแกนนำพรรคประชาชนอย่าง “ศิริกัญญา ตันสกุล” ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า พรรคต้องช่างน้ำหนักในเรื่องของการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจที่สุ่มเสี่ยงต่อการยุบสภา ซึ่งที่ยังไม่ผ่านเรื่องรัฐธรรมนูญ โดยมองเรื่องเงื่อนเวลาเป็นจุดเปลี่ยนเกม พร้อมย้ำว่าพรรคจะเสียดายมากถ้าเรื่องรัฐธรรมนูญที่ต่อสู้มาตลอดไม่ประสบความสำเร็จ

            ไม่นานนัก นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็ออกแถลงการณ์ 7 ข้อถึงประเด็นการชิงยุบสภาหากมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่สำคัญคือ 3 ข้อแรกคือ

1.ขอยืนยันในฐานะนายกรัฐมนตรีที่มาจากข้อตกลงกับพรรคประชาชน ว่าจะยุบสภาภายใน 120 วัน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 31 มกราคม 2569

2.ขอเรียนย้ำว่า ข้อตกลงที่ทำกับพรรคประชาชนมีสาระสำคัญคือ 1.แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 2.จัดให้มีการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในครั้งถัดไป 3.ยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 120 วัน นับตั้งแต่วันแถลงนโยบาย 4.พรรคประชาชนเป็นพรรคฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ตรวจสอบ ให้คำแนะนำการทำงานของรัฐบาล ซึ่งตนยอมรับบทบาทและการตรวจสอบของพรรคประชาชน และยินดีชี้แจง

“ผมรู้ตัวตลอดเวลาว่าเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ดังนั้น หากมีการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง รัฐบาลย่อมไม่มีทางที่จะมีเสียงสนับสนุนมากกว่า รัฐบาลก็ต้องคิดว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในข้อตกลงกับพรรคประชาชน แต่ถ้าเป็นการยื่นญัตติเปิดอภิปรายเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาของประเทศร่วมกัน ผมพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นอภิปรายไม่ไว้วางใจเท่านั้น จัดเวทีประชุม หรือมาพูดคุยหารือกันในลักษณะแบบนี้ได้ทั้งนั้น ...

...ทั้งนี้หากมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อมาเป็นรัฐบาลต้องพร้อมชี้แจง แม้ว่าจะมีในข้อตกลงหรือไม่มีก็ตาม พร้อมย้ำ รัฐบาลพร้อมชี้แจง และไม่เคยคิดที่จะจับรัฐธรรมนูญเป็นตัวประกัน แต่เราจะเร่งแก้รัฐธรรมนูญให้เสร็จเร็วที่สุดตามกรอบเวลาที่กำหนด จากนั้นจะยุบสภา”

การเมืองในช่วงก่อนการเลือกตั้งจึงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการเดินสู่เป้าหมายทางของเฉดสีต่างๆ ที่เข้มข้นขึ้น โดยโจทย์หลักคือการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง ส่วนปัญหาของประชาชนยังคงเป็นเรื่องรองเหมือนเดิม.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนุทิน' สวน พท. ใครทำงานห่วย ยุครัฐบาลนิด-อิ๊งค์ ติดโพลอันดับ 2

'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'

โฆษกภูมิใจไทย โต้เดือด โทรโข่งเพื่อไทยแกล้งตาบอด ไม่เห็นภาพทักษิณกับเบน สมิธ

โฆษกภูมิใจไทย สวนโฆษกเพื่อไทย อย่าแกล้งตาบอด ปีนี้ใครถ่ายรูปกับ "เบน สมิธ" ยัน "อนุทิน" แค่รู้จักแต่ไม่สนิท ผลงานประจักษ์ยึดทรัพย์หมื่นล้านสแกมเมอร์รายใหญ่ บีบพ้น มท.1 เหตุไม่ให้สัญชาติใครหรือไม่ เย้ย 4 เดือนใครบริหารน้ำท่วมเหลว ขณะที่ "2 เดือน" นายกฯอนุทิน" เข้ามาแก้วิกฤติ

สส.ปชน. เรียกร้องรัฐบาลเยียวยาน้ำท่วมภาคกลางให้มีมาตรฐานเดียวกับภาคใต้

"เต้ ทวิวงศ์​" จี้รัฐบาลอย่า 2 มาตรฐาน ช่วยน้ำท่วมใต้แล้ว หันมาช่วยน้ำท่วมภาคกลางด้วย บอก "ภราดร" ลองกลับมาถามคนอ่างทอง หากรอการเยียวยาเป็นลำดับถัดไปไหวหรือไม่ เหตุอยุธยาจมน้ำมา 4-5 เดือนแล้ว คนเสียชีวิตไปกว่า 20 ราย ชี้ ชาวบ้านต้องทำมาหากิน ควรมีมาตรการชดเชย-ช่วยเหลือเต็มรูปแบบเหมือนกัน