ในช่วงปลายปี 2568 ที่กำลังจะสิ้นสุดลง กระแสการเมืองไทยกำลังร้อนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะประเด็นการเตรียมจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และการออกเสียงประชามติที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2569 หลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานคนใหม่ คือ นายณรงค์ กลั่นวารินทร์ และ กกต.ใหม่อีก 2 คนคือ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ และนายณรงค์ รักร้อย เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2568 การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะยุบสภาไม่เกินวันที่ 31 ม.ค.2569 เพื่อเปิดทางให้เกิดการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่จัดการเลือกตั้งควบคู่กับการออกเสียงประชามติ 2 เรื่องสำคัญ ได้แก่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญและข้อตกลงบันทึกความเข้าใจ (MOU 43-44) ระหว่างไทย-กัมพูชา
ทั้งนี้ ไล่เรียงความพร้อมโดยเฉพาะด้านกฎหมาย และกรอบเวลา ซึ่งรวมถึงการแบ่งเขตเลือกตั้งที่เพิ่งประกาศใหม่ กกต.ได้ประกาศชัดเจนตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค.2568 ว่าพร้อมจัดการเลือกตั้ง สส.ควบคู่กับการออกเสียงประชามติ โดยนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ระบุในแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนว่า สำนักงานมีความพร้อมเต็มที่ ไม่ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นวันใดก็ตาม โดยการเลือกตั้งต้องจัดภายใน 45-60 วัน หลังประกาศยุบสภา ซึ่งหากยุบสภาในเดือน ม.ค.2569 การเลือกตั้งอาจตกในช่วงปลายเดือน มี.ค. ปี 2569
สำหรับประชามติ กกต.ยังมีการรวมคำถามประชามติ 2 เรื่องไว้ในบัตรใบเดียว เพื่อลดความซับซ้อนและประหยัดงบประมาณ โดยรวมแล้วอาจมีบัตรลงคะแนนทั้งสิ้น 3 หรือ 4 ใบ ขึ้นอยู่กับการเคาะของ กกต. โดยหลักๆ แล้วจะมีบัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขต บัตรแบบบัญชีรายชื่อ และบัตรประชามติ.
ส่วนที่สำคัญยิ่งคือการแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่ง กกต. ได้ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2568 ผ่านราชกิจจานุเบกษา โดยกำหนดจำนวน สส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งทั้งสิ้น 400 เขตทั่วประเทศ ตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้มี สส. เขต 400 คน และ สส. บัญชีรายชื่อ 100 คน การแบ่งเขตครั้งนี้ใช้จำนวนราษฎรที่มีสัญชาติไทย ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2567 เป็นฐานคำนวณ เพื่อให้แต่ละเขตมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกันและเป็นธรรม
โดยจังหวัดที่มีจำนวนเขตสูงสุดคือกรุงเทพมหานคร 33 เขต ตามด้วยนครราชสีมา 16 เขต ขอนแก่น 11 เขต เชียงใหม่ 10 เขต และอุบลราชธานี 10 เขต ในขณะที่จังหวัดขนาดเล็กอย่างสมุทรสงคราม ระนอง และตราด มีเพียง 1 การปรับปรุงครั้งนี้ยังรวมถึงการเพิ่มเขตในบางจังหวัด เช่น ปทุมธานีและสมุทรสาคร ที่ได้รับ ส.ส. เพิ่มขึ้น เนื่องจากประชากรเพิ่มขึ้น การประกาศนี้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของ กกต. ในการปรับตัวให้เข้ากับข้อมูลประชากรล่าสุด ซึ่งมีทั้งสิ้นประมาณ 64.9 ล้านคน ทำให้กระบวนการสมัครรับเลือกตั้งและหาเสียงสามารถเริ่มต้นได้ทันทีหลังยุบสภา
ในด้านบุคลากรและการฝึกอบรม กกต. ได้ดำเนินการเตรียมความพร้อมอย่างเข้มข้น โดยมีการจัดอบรมเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งกว่า 100,000 คนทั่วประเทศ ตั้งแต่เดือนต.ค. 2568 เพื่อให้เข้าใจกระบวนการใหม่ โดยเฉพาะการจัดการบัตรประชามติควบคู่กับเลือกตั้ง รวมถึงการตรวจสอบเขตเลือกตั้งใหม่
โดยกกต. กล่าวในบทสัมภาษณ์กับสื่อว่า "เรายังไม่สามารถตอบได้ชัดเจนหากยุบสภาเกิดขึ้นก่อนวันที่ 31 ม.ค. ว่าจะทำประชามติได้หรือไม่ แต่เรามีแผนสำรองเพื่อให้ทุกอย่างราบรื่น โดยเฉพาะการปรับแผนบุคลากรให้สอดคล้องกับเขตเลือกตั้งใหม่"
ซึ่งสะท้อนถึงการวางแผนแบบหลายสถานการณ์ นอกจากนี้ กกต. ยังประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อจัดหาสถานที่เลือกตั้ง โดยเน้นพื้นที่ที่เข้าถึงง่ายและปลอดภัยจากภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วมหรือฝุ่น PM2.5 ที่อาจเกิดในช่วงฤดูแล้ง การเตรียมบุคลากรนี้ยังรวมถึงการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตเลือกตั้ง โดยมีทีมงานเฉพาะกิจเพื่อเฝ้าระวังการซื้อเสียงหรือการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการหาเสียงที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยในเลือกตั้งครั้งก่อน และอาจรุนแรงขึ้นในเขตที่ถูกปรับใหม่
ส่วนด้านงบประมาณและเทคโนโลยี กกต. ส่วนใหญ่ใช้ในการพิมพ์บัตรลงคะแนน การขนส่งอุปกรณ์ และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งรวมถึงการผลิตแผนที่เขตเลือกตั้งใหม่เพื่อแจกจ่ายให้พรรคการเมืองและประชาชน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวในแถลงการณ์ว่าการยุบสภาจะยึดตาม MOU ระหว่างพรรครัฐบาล เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งที่โปร่งใส และยืนยันว่ารัฐบาลจะสนับสนุนงบประมาณเต็มที่เพื่อให้ กกต. ดำเนินงานได้ ในฝั่งเทคโนโลยี กกต. ได้อัปเกรดระบบแอปพลิเคชัน "Smart Vote" เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบสิทธิเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งใหม่ และรายงานการทุจริตแบบเรียลไทม์
นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบเอกสารผู้สมัครและผลคะแนนเบื้องต้น เพื่อลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ โดยการใช้เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้ผลการนับคะแนนประกาศได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังปิดหีบ โดยเฉพาะในเขตที่มีประชากรหนาแน่น การเตรียมการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยประหยัดเวลา แต่ยังเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในกระบวนการประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการแบ่งเขตใหม่ช่วยให้การกระจายเสียงมีความเท่าเทียมมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความพร้อมเหล่านี้ต้องเผชิญกับความท้าทาย โดยเฉพาะภายใต้การนำของนายณรงค์ กลั่นวาริน ซึ่งเพิ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเพียงไม่กี่วันก่อนที่จะต้องรับผิดชอบภารกิจใหญ่หลวงนี้
นายณรงค์ ซึ่งมีพื้นฐานเป็นอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาและเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารศาลหลายแห่ง ได้รับเลือกจากที่ประชุม กกต. ด้วยคะแนน 4 ต่อ 3 เสียง เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2568 แม้เขาจะมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายสูง แต่การรับตำแหน่งอย่างกะทันหันอาจทำให้ต้องปรับตัวกับระบบบริหารของ กกต. ซึ่งแตกต่างจากงานตุลาการ
โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องจัดการคดีสำคัญ เช่น คดีฮั้วเลือกตั้ง สว. ที่ยังค้างคาอยู่
โดยมีการมองกันว่า การที่ “นายณรงค์” ที่มาจากสายตุลาการอาจนำมาซึ่งมุมมองใหม่ๆ ที่เน้นความยุติธรรมและโปร่งใส แต่ก็อาจขาดประสบการณ์ตรงในการจัดการเลือกตั้งขนาดใหญ่ ซึ่งต้องอาศัยการประสานงานกับหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะการตรวจสอบข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการแบ่งเขตใหม่ที่อาจเกิดขึ้นจากพรรคการเมืองที่เห็นว่าเสียเปรียบ
งานใหญ่ปีหน้า คงต้องเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ ของแม่ทัพกกต.ที่จะคุมบังเหียนให้การเลือกตั้ง พ่วงประชามติที่นับเป็นอีกครั้งของประวัติศาสตร์ของประเทศไปได้ตลอดจนสุดฝั่งหรือไม่ ต้องรอติดตาม.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แก้รธน.วาระ2เร่งสรุปเนื้อหา วัดใจวาระ3ก่อนกดปุ่มยุบสภา
ในการประชุมร่วมรัฐสภา ครั้งที่ 1 สมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ วันพุธที่ 10 ธ.ค. และครั้งที่ 2 สมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ วันพฤหัสบดีที่ 11 ธ.ค. ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ถึงเที่ยงคืนโดยประมาณ เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่…พุทธศักราช...ซึ่งคณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว วาระ 2
ข้ามเส้นแดง“เผด็จศึกฮุน เซน” “เจ็บต้องจบ”ก่อนถูกห้ามมวย
การปรากฏตัวของขุนพล “มือขวา” ของ “สมเด็จฮุน เซน” ประธานพฤฒสภากัมพูชาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เปรียบเหมือนสัญญาณที่บ่งชี้ว่า “กัมพูชา” กำลังขยับเข้าสู่ปฏิบัติการเอาพื้นที่คืนจากไทย ที่เราได้ยึดมาได้ใน “สงคราม 5 วัน” ช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
วาระร้อนหลังเปิดสภาฯ12ธ.ค. จุดไฟการเมืองลุกโชนก่อนยุบ!
รัฐสภาจะกลับมาเปิดสมัยประชุมกันอีกครั้งตั้งแต่ 12 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป ซึ่งหากจังหวะการเมืองเดินไปตาม MOA ที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ทำไว้กับพรรคประชาชน ก็คือจะ ยุบสภาฯ ในวันที่ 31 มกราคม 2569
หาดใหญ่-สแกมเมอร์ทำรบ.'แต้มหล่น' 'อนุทิน'เปิดหน้าชนกู้เรตติ้ง
โดนล่อเป้าในจังหวะที่รัฐบาลกำลังอยู่ในสภาพอ่อนแอจากกรณีมหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สำหรับการปล่อยภาพที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

