เปิดขั้นตอนหย่อนบัตร8ก.พ.69 บัตร3ใบเลือกตั้งพ่วงประชามติ

ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูกาลการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อย่างเป็นทางการ โดยในครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่จะมีการเลือกตั้ง สส. พร้อมกับการทำประชามติหนึ่งเรื่องในวันเดียวกัน โดยกำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

หลังจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2568 โดยนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือน ก.ย.2568 ได้ประกาศยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ตึงเครียด รวมถึงข้อขัดแย้งเรื่องชายแดนกับกัมพูชาที่กำลังรุนแรงขึ้นตั้งแต่เดือน ธ.ค.2568 และความไม่ลงรอยในรัฐสภาเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจ การทำประชามติ

พร้อมกันนี้เกิดจากข้อตกลงระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน เพื่อผลักดันการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง โดย กกต.ได้รับอนุมัติให้จัดประชามติเรื่องนี้ในวันเดียวกับการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2564 ที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อประหยัดงบประมาณ ลดภาระโลจิสติกส์ และเพิ่มอัตราการออกเสียงของประชาชนให้สูงขึ้น โดยคาดว่าจะช่วยให้ประชาชนเข้าร่วมมากขึ้น เนื่องจากความสะดวกในการไปหน่วยเลือกตั้งเพียงครั้งเดียว

อย่างไรก็ตาม แผนการทำประชามติเรื่องยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) 2 ฉบับกับกัมพูชาเกี่ยวกับเขตแดนถูกถอนออกไปแล้ว หลังจากที่สภาพัฒนาการเมืองแห่งรัฐ (Council of State) ชี้แจงว่าการทำประชามติเรื่องนี้หลังยุบสภาจะขัดต่อมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญ เพราะจะผูกมัดรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งทำให้รัฐบาลตัดสินใจไม่นำเรื่องนี้เข้าสู่ประชามติ

การเลือกตั้ง สส.ในครั้งนี้จะใช้ระบบคู่ขนานตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อเลือก สส.ทั้งหมด 500 คน แบ่งเป็น สส.แบบแบ่งเขต 400 คน และ สส.แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งคือพลเมืองไทยที่มีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง และต้องลงทะเบียนในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งนั้นอย่างน้อย 90 วันก่อนวันเลือกตั้ง

หากไม่สามารถไปใช้สิทธิในวันจริงได้ ผู้มีสิทธิสามารถลงทะเบียนขอใช้สิทธิล่วงหน้าได้ระหว่างวันที่ 20 ธ.ค.2568 - 5 ม.ค.2569 ผ่านแอปพลิเคชัน Smart Vote ของ กกต. หรือแอป ThaiD ของกระทรวงมหาดไทย หรือแจ้งด้วยตนเองที่สำนักทะเบียนอำเภอ ยกเว้นการลงประชามติที่จะไม่มีการลงคะแนนล่วงหน้า มีเพียงการลงคะแนนนอกเขตในวันที่ 8 ก.พ.2569 เท่านั้น

สำหรับการใช้สิทธิล่วงหน้าในประเทศจะจัดขึ้นในวันที่ 1 ก.พ.2569 ทั้งในเขตและนอกเขต ขณะที่การใช้สิทธินอกประเทศจะจัดผ่านสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุล โดย กกต.ได้ปรับปรุงระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวไทยในต่างประเทศ เช่น การลงทะเบียนทางอิเล็กทรอนิกส์และการส่งเอกสารทางดิจิทัล หากไม่แจ้งเหตุที่ไม่สามารถไปใช้สิทธิได้ภายในช่วง 1-7 กุมภาพันธ์ หรือ 9-15 ก.พ.2569 อาจถูกจำกัดสิทธิทางการเมืองชั่วคราวตามกฎหมาย

กระบวนการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง สส.ในวันจริงเริ่มต้นด้วยการไปยังหน่วยเลือกตั้งที่กำหนด ซึ่งมักจัดที่โรงเรียนหรือสถานที่สาธารณะใกล้บ้าน โดยผู้มีสิทธิต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชนหรือเอกสารราชการที่มีรูปถ่ายเพื่อยืนยันตัวตน หลังจากตรวจสอบรายชื่อในทะเบียนผู้มีสิทธิแล้ว เจ้าหน้าที่จะมอบบัตรลงคะแนน 2 ใบที่มีสีต่างกัน

ใบแรก สำหรับเลือก สส.แบบแบ่งเขต โดยผู้มีสิทธิจะเลือกผู้สมัครในเขตของตนเพียงคนเดียวด้วยการกากบาทหรือเขียนหมายเลขในช่องที่กำหนด

ใบที่สอง สำหรับเลือกพรรคการเมืองเพื่อคำนวณ สส.แบบบัญชีรายชื่อ โดยเลือกพรรคเพียงพรรคเดียวเช่นกัน การลงคะแนนต้องทำในคูหาลับเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว จากนั้นนำบัตรทั้ง 2 ใบใส่ลงในหีบบัตรเลือกตั้งที่แยกกัน หากลงคะแนนผิดพลาด เช่น กากบาทหลายช่องหรือเขียนไม่ชัดเจน บัตรนั้นอาจถูกนับเป็นบัตรเสีย ซึ่งจะไม่ถูกนำไปคำนวณผล หลังจากลงคะแนน เจ้าหน้าที่จะประทับตราที่นิ้วมือเพื่อป้องกันการลงคะแนนซ้ำซ้อน กระบวนการนี้คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีต่อคน และ กกต.ได้เตรียมมาตรการป้องกันการทุจริต เช่น การตรวจสอบกล้องวงจรปิดและการสังเกตการณ์จากตัวแทนพรรคการเมืองเพื่อให้การเลือกตั้งโปร่งใส

ใบที่สาม หลังจากเสร็จสิ้นการลงคะแนนเลือกตั้ง สส.แล้ว ให้ผู้มีสิทธิเดินไปอีกหน่วยที่อยู่ข้างๆ กัน เพื่อรับบัตรลงคะแนนสำหรับการทำประชามติอีก 1 ใบ เนื่องจากมีคำถามเพียงข้อเดียว โดยคำถามคือ การเห็นชอบให้ประเทศไทยร่างรัฐธรรมนูญใหม่ผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งหรือไม่ ซึ่งเป็นผลจากข้อตกลงทางการเมืองเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีที่มาจากคณะรัฐประหาร การลงคะแนนประชามติจะใช้ระบบเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบสำหรับคำถามนี้ โดยกากบาทในช่องที่ต้องการบนบัตรใบเดียวเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน กกต.ได้เผยแพร่ตัวอย่างบัตรลงคะแนนประชามติล่วงหน้าเพื่อให้ประชาชนคุ้นเคย และบัตรนี้จะมีสีและรูปแบบที่แตกต่างจากบัตรเลือกตั้งเพื่อแยกแยะได้ชัดเจน ผลประชามติจะมีผลผูกพันหากมีผู้มาใช้สิทธิไม่ต่ำกว่า 50% ของผู้มีสิทธิทั้งหมด และเสียงข้างมากเห็นชอบ โดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวน สส.ที่ได้รับเลือก

เพื่อป้องกันความสับสนในวันเลือกตั้งที่มีการลงคะแนนถึง 3 ใบ กกต.ได้ออกระเบียบใหม่ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2564 ที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยอนุญาตให้จัดการเลือกตั้งและประชามติในวันเดียวกัน เฉพาะกรณีที่เป็นการเลือกตั้งใหญ่และอยู่ในกรอบเวลาที่เหมาะสม ซึ่งช่วยลดความยุ่งยากให้ประชาชนไม่ต้องไปหน่วยเลือกตั้งหลายครั้ง

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ได้แสดงความมั่นใจว่าประชาชนสามารถจัดการกับบัตร 3 ใบได้โดยไม่สับสน เนื่องจากมีประสบการณ์จากการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ และ กกต.จะจัดอบรมและประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ล่วงหน้า เช่น การแจกคู่มือและวิดีโอสาธิต ผู้มีสิทธิควรเตรียมตัวโดยศึกษาตัวอย่างบัตรจากเว็บไซต์ กกต. หรือแอป Smart Vote ล่วงหน้า ตรวจสอบหน่วยเลือกตั้งผ่านระบบออนไลน์ และวางแผนเวลาไปใช้สิทธิเพื่อหลีกเลี่ยงความแออัด

นอกจากนี้ หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเจ้าหน้าที่หน่วยเลือกตั้งได้ แต่ต้องหลีกเลี่ยงการรับคำแนะนำจากบุคคลภายนอกเพื่อป้องกันการชี้นำที่ผิดกฎหมาย การเตรียมตัวเช่นนี้จะช่วยให้กระบวนการทั้งหมดราบรื่น และประชาชนสามารถแสดงเจตนารมณ์ได้อย่างถูกต้อง

หลังวันเลือกตั้ง กกต.จะนับคะแนนเบื้องต้นทันที และประกาศผลอย่างไม่เป็นทางการภายใน 24 ชม. โดยผลเลือกตั้ง สส.จะใช้คำนวณที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งพรรคต้องได้อย่างน้อย 25 ที่นั่ง หรือ 5% ของสภา เพื่อเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ส่วนผลประชามติจะถูกประกาศอย่างเป็นทางการภายใน 60 วัน

หากประชามติผ่าน จะนำไปสู่การจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างการเมืองในระยะยาว สถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ภายใต้รัฐบาลนายอนุทินกำลังเผชิญแรงกดดันจากพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคประชาชนที่ขู่ว่าจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนยุบสภา แต่การยุบสภาได้ยุติกระบวนการนั้นและเปิดทางให้ประชาชนตัดสินใจ ท่ามกลางความขัดแย้งชายแดนกับกัมพูชาที่อาจกระตุ้นกระแสชาตินิยมและส่งผลต่อคะแนนเสียงของพรรครัฐบาล

การเลือกตั้งและประชามติครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับประชาชนในการกำหนดทิศทางประเทศ โดย กกต.คาดว่ามีผู้มีสิทธิประมาณ 52 ล้านคน และเน้นย้ำให้ทุกคนออกมาใช้สิทธิเพื่อเสริมสร้างประชาธิปไตยที่มั่นคง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กกต. พอใจรับสมัครปาร์ตี้ลิสต์ 52 พรรคฉลุย มั่นใจ 8 ก.พ. มีเลือกตั้งแน่

'กกต.' เผยรับสมัครปาร์ตี้ลิสต์วันแรกราบรื่น 52 พรรคยื่นครบ เสนอแคนดิเดตนายกฯ 32 พรรค 68 คน เดินหน้าตรวจนโยบายเข้มตามกฎหมาย มั่นใจเลือกตั้ง 8 ก.พ.69 จัดได้ทั่้วประเทศ

'ภท.-ปชน.' แตกหักปม112 'พท.' ตัวแปรรอร่วมรัฐบาล

การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 กำลังเดินหน้าเข้าสู่ช่วงโค้งสำคัญ พรรคการเมืองต่างเร่งนำเสนอนโยบาย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และทีมรัฐมนตรี เพื่อขอโอกาสประชาชนเข้ามาบริหารประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า

กกต.เปิดรับสมัคร สส.กทม. 33 เขต กำชับตรวจเอกสาร-เงินค่าสมัครให้ครบ  

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศจากอาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร (กก