ข้อมูลส่วนบุคคลกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคม

ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ในช่วงเกือบสองปีที่ผ่านมาและยังดำเนินต่อไปนั้น ต้องยอมรับว่าได้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในประเทศของเราและในหลายๆ ประเทศทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะในเรื่องของสังคมที่มีปัจจัยที่เป็นตัวเร่งคือโรคระบาดและความรวดเร็วของการใช้เทคโนโลยีในการติดต่อสื่อสารที่มีชุดข้อมูลอยู่มากมายในโลกออนไลน์ ทั้งที่เป็นเรื่องจริง ไม่จริง เรื่องบิดเบือนและข้อมูลหลอกลวงเชิงลบต่างๆ ทำให้สังคมเกิดความสับสนและมีผู้คนจำนวนมากที่ถูกนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ในทางทุจริต ผิดกฎหมายและเกิดความเสียหายในวงกว้าง

ข้อมูลส่วนบุคคลคืออะไร? และมีใครบ้างนั้นที่จะได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย แค่ไหน เพียงใด จึงขอเริ่มจากกฎหมายที่ออกมาในปี พ.ศ. 2562  คือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล.. 2562  (Personal Data Protection Act B.E. 2562) หรือ “PDPA” โดยมีเหตุผลการออกกฎหมายว่าในปัจจุบันมีการล่วงละเมิด สิทธิความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจํานวนมาก  สร้างความเดือดร้อนรําคาญหรือความเสียหาย ให้แก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ประกอบกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทําให้การเก็บรวบรวม ใช้ หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลอันเป็นการล่วงละเมิดดังกล่าว ทําได้โดยง่าย สะดวก และรวดเร็ว ก่อให้เกิด ความเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวม จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายเข้ามากำกับ ดูแล และลงโทษผู้กระทำความผิดโดยมีทั้งโทษปรับและโทษจำคุกในหลายกรณี เช่น การนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้โดยที่เจ้าของข้อมูลไม่ได้อนุญาตหรือให้ความยินยอม

ในกฎหมายฉบับนี้ได้นิยาม ข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง “ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทําให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมแต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ”  เช่น ชื่อ นามสกุล  เบอร์โทรศัพท์ หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน  บัญชีธนาคาร เลขบัตรสมาชิก ข้อมูลการเดินทางหรือการรักษาพยาบาล เป็นต้น ซึ่งต้องยอมรับว่าในอดีตนั้น มีการนำไปใช้ทางการตลาด ประชาสัมพันธ์อย่างแพร่หลายโดยเจ้าของข้อมูลไม่ได้ให้ความยินยอม และมีมิจฉาชีพจำนวนมากใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้ในทางที่มิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายต่อสังคมและส่วนรวมอย่างเป็นวงกว้างโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงวัย เด็กและเยาวชน ต้องตกเป็นเหยื่อเสียเงินทองเป็นจำนวนมาก  

รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบถึงปัญหาและผลกระทบที่เริ่มเป็นวงกว้าง มีการตั้งศูนย์เฉพาะกิจ และรับเรื่องร้องเรียนหลายๆ แห่ง ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.)  สายด่วน  1499  หรือ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี  (Technology Crime Suppression Division) หรือในส่วนของศูนย์รับเรื่องร้องเรียนปัญหาออนไลน์  หมายเลข 1212 ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือสามารถไปแจ้งความ ณ สถานีตำรวจท้องที่เกิดเหตุ สถานีตำรวจนครบาล หรือสถานีตำรวจภูธรได้โดยตรง 

โดยทางเจ้าหน้าที่รัฐก็มีกฎหมายอีกฉบับหนึ่งที่สำคัญ คือ “พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560” หรือที่เรียกกันว่า “พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์” ในการสืบสวน สอบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิดมาลงโทษแต่ก็ต้องยอมรับว่าการดำเนินการ ยังไม่สามารถทำได้รวดเร็วและเท่าทันจำนวนคดีหรือข้อร้องเรียนของประชาชนที่เกิดขึ้นใหม่แทบทุกชั่วโมงเนื่องจากความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและวิถีชีวิตใหม่ของผู้คนที่ติดต่อสื่อสารระหว่างกันตลอดจนการซื้อขายสินค้า อาหาร เครื่องดื่ม เป็นต้น โดยมีข้อมูลทางสถิติพบว่า คนไทย “ช้อปปิ้งออนไลน์” สูงมากถึงเป็นอันดับ 3 ของโลก หรือประมาณ 80 % และมีอัตราสูงมากเช่นเดียวกันในการช้อปปิ้งออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยอยู่อันดับ 2 ของโลกด้วยสัดส่วนประมาณ 75 % จึงอาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อาญชากรรมด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

ในฐานะที่คนไทยทุกคนเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลของตน (Data Object) ที่ในอนาคตจะต้องมี ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) ผู้ประเมินผลข้อมูล (Data Processor) และเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูล (Data Protection Officer) เข้ามารับผิดชอบในการจัดเก็บ รวบรวม กำหนดมาตรการดูแลรักษา ประเมินผล และคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น ซึ่งกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้ได้ให้สิทธิกับคนไทยทุกคนในการได้รับการปกป้องคุ้มครองไม่ให้ข้อมูลของตนถูกล่วงละเมิดและเกิดความเสียหาย  โดยในต่างประเทศโดยเฉพาะสหภาพยุโรป (European Union) นั้นก็ได้มีการออกกฎหมายลักษณะเดียวกันในปี พ.ศ. 2561 ในชื่อ “General Data Protection Regulation”  หรือ “GDPR” โดยมีการบังคับใช้ในประเทศสมาชิกอย่างแข็งขัน มีการดำเนินการลงโทษด้วยการปรับเงินจำนวนสูงมากหลายร้อยล้านยูโรกับธุรกิจและผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนกฎหมายไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสายการบิน  โรงแรม  Platforms การติดต่อสื่อสารต่างๆ หรือแม้กระทั่งการนำข้อมูลของพนักงาน ลูกจ้างไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือได้รับความยินยอม

อย่างไรก็ตาม ต้องขอแจ้งว่าในปัจจุบัน กฎหมาย GDPA ได้ถูกเลื่อนการบังคับใช้เต็มรูปแบบออกไปร่วม 2 ปีแล้ว เนื่องจากความไม่พร้อมในหลายๆ ด้านของภาครัฐและภาคเอกชนในการเตรียมการรองรับกฎหมายฉบับนี้ รวมถึงการออกกฎหมายลูก ระเบียบ ประกาศ และคำสั่งของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ยังไม่เรียบร้อย เนื่องจากการแต่งตั้งคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลยังไม่สมบูรณ์ โดยล่าสุดมีการแจ้งประกาศจากรัฐบาลว่าจะใช้เต็มฉบับได้ในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565  

ประชาชนทุกคนจึงโปรดทราบและช่วยกันส่งเสียงให้กฎหมายฉบับนี้ได้ถูกบังคับใช้ได้อย่างจริงจังในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565 และไม่เจอโรคเลื่อนอีกเป็นครั้งที่ 3 เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว ประชาชนคนไทยทุกคนก็จะเสียสิทธิในการได้รับความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลต่อไปอีกเป็นปีที่ 3 ในขณะที่เมื่อไม่นานมานี้ ก็ได้มีเหตุการณ์การรั่วไหล  ล่วงละเมิดของข้อมูลส่วนบุคคลเกิดขึ้นจริงแล้วในโรงพยาบาลของรัฐในต่างจังหวัดและกลุ่มธุรกิจด้านสินค้าอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่ของเอกชนแต่เรื่องที่เกิดก็ค่อยๆ เงียบหายไปเพราะเรายังไม่มีเจ้าภาพมาดูแลอย่างจริงจังนั่นเอง 

เทวัญ   อุทัยวัฒน์     

 กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

ส่งบทความคอลัมน์ เวทีพิจารณ์นโยบายสาธารณะ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สังคมไทยภายใต้กระบวน การยุติธรรมหลาย มาตรฐาน 

ต้องยอมรับว่าหลายๆ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศเราในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้นทำให้ระบบสังคมโดยเฉพาะระบบย่อยหลายระบบ เช่น เศรษฐกิจ ครอบครัว สาธารณสุข ความเชื่อและศาสนามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเจริญเติบโตด้านวัตถุ โครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี รถยนต์ไฟฟ้า หรือการนำปัญญาประดิษฐมาประยุกต์ใช้งานและธุรกิจต่างๆ

ความล้มเหลวของการศึกษาไทยสู่ปัญหาที่ขาดผู้รับผิดชอบ

ในแวดวงนักวิชาการด้านนโยบายสาธารณะต่างเห็นตรงกันว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศที่สำคัญลำดับต้นๆ คือการปฏิรูปการศึกษาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ในหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ มาตรา 54 บัญญัติในสาระสำคัญว่า

การป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายระดับท้องถิ่น

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา  สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือ “ป.ป.ช.” โดยผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตร “นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการทุจริตระดับสูง’ (นยปส.) รุ่นที่ 14” รวม 85 คน จากแวดวงราชการและรัฐวิสาหกิจรวมถึงผู้แทนจากภาคประชาสังคมได้ร่วมกันจัดเวทีสัมมนาสาธารณะในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์การป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายระดับท้องถิ่น” โดยได้เชิญข้าราชการจากหน่วยงานต่างๆ นักวิชาการ ผู้แทนสมาคม มูลนิธิ สื่อมวลชน เข้าร่วมงานกว่า 400 คน

ครบ 1 ปี PDPA…มาดูกันว่า ทรู คอร์ป คุมเข้มข้อมูลส่วนบุคคลลูกค้าอย่างไรกันบ้าง

1 มิถุนายน 2566 ครบ1 ปีที่กฎหมาย PDPA (Personal Data Protection Act) มีผลบังคับใช้ คงมีคำถามมากมายว่าแต่ละองค์กรทำอะไรไปบ้าง ซึ่งทรู คอร์ป หนึ่งในองค์กรที่มีลูกค้าจากการควบรวมทรู-ดีแทค มากถึง 50.5 ล้านเลขหมาย ได้ออกแนวทางหรือมาตรการอะไรในการดูแลลูกค้าทรู-ดีแทค เรื่องการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลไปบ้างแล้ว