
ส.อ.ท. เผยดัชนีความเชื่อมั่นลดลง งวดเม.ย. อยู่ที่ระดับ 95.0 จากวันหยุดต่อเนื่องดึงยอดสั่งซื้อลดลง ชี้ผู้ประกอบการยังกังวลค่าไฟ-ราคาน้ำมัน วอนรัฐจัดสรรงบเป็นส่วนลดค่าไฟ พร้อมร่อนสมุดปกขาว เร่งรัฐบาลใหม่จัดตั้งนายก หวั่นเศรษฐกิจเกิดสุญญากาศ พร้อมเบรกใหม่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ !
16 พ.ค. 2566 – นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนเม.ย.2566 อยู่ที่ระดับ 95.0 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 97.8 ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 4 เดือน เนื่องจากมีปัจจัยลบจากการชะลอตัวของภาคการผลิต ที่เดือนเม.ย.มีวันหยุดต่อเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ประกอบกับอุปสงค์ต่างประเทศยังคงอ่อนแอ สะท้อนจากดัชนีคำสั่งซื้อและยอดขายต่างประเทศปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากผลกระทบเศรษฐกิจโลกถดถอย
นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นด้านต้นทุนประกอบการยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทยอยปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอีมีภาระหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งมองไประยะต่อไป คาดการณ์ดัชนีฯ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 105.0 ลดลงจากเดือนก่อนคาดอยู่ที่ระดับ 106.3 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูงจากอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าชะลอตัว ส่งผลลบต่อภาคการส่งออกของไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานและราคาวัตถุดิบในตลาดโลก ทำให้ต้นทุนการผลิตยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะค่าไฟฟ้า
ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยบวกจากอัตราค่าระวางเรือที่ทยอยปรับลดลงตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566 การขยายตัวการบริโภคในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท.จึงมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐให้ส่งเสริมการจัดงานแสดงสินค้า และกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ ทั้งภายในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) และอเมริกาใต้ รวมทั้งเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า และออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า เช่น จัดสรรงบประมาณเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบและลดต้นทุนการผลิตให้กับภาคอุตสาหกรรม
นายมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ส.อ.ท.อยู่ระหว่างจัดทำสมุดปกขาวนำเสนอรัฐบาลใหม่ ดังนั้นสิ่งสำคัญขณะนี้ คือ การเร่งจัดตั้งรัฐบาลและการตั้งนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาทำงานล่าช้าจนถึงเดือนก.ย.-ต.ค. 2566 ไทยจะมีช่วงสุญญากาศ 4-5 เดือน อาจกระทบการใช้เงินงบประมาณปี 2567 และการจัดทำงบปี 2568 จึงอยากให้เร่งโดยเร็วเพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้า
“เรากำลังทำข้อเสนอถึงรัฐบาลใหม่ คาดว่าตรวจรับได้ช่วงปลายเดือนพ.ค.นี้ จากนั้นจะเสนอเข้าที่ประชุมกรรมการบริหารอนุมัติ เพื่อยื่นสมุดปกขาวให้รัฐบาลใหม่ต่อไป ซึ่งยืนยัน ส.อ.ท.พร้อมทำงานกับทุกรัฐบาล เพราะมองความมั่นคงของชาติ ขณะที่กำลังมองไปที่การตั้งนายกรัฐมนตรี เพราะถ้าได้นายกฯ เดือนก.ย.-ต.ค. งบประมาณปีนี้จะใช้อย่างไร อยากให้เร่งเร็วๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รีบๆ ตั้งเถอะ อย่าทะเลาะกันเลย อยากเห็นประเทศชาติเดินหน้า”นายมนตรี กล่าว
โดยประเด็นที่จะนำเสนอในสมุดปกขาว จะเป็นเรื่องการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของไทยที่ขณะนี้ลดลง โดยการปรับโครงสร้างกฎระเบียบภาครัฐ 1,000 ฉบับ ที่เคยศึกษาไว้จะช่วยลดงบประมาณได้กว่า 90,000 ล้านบาท โดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ ส.อ.ท.มีความกังวล เพราะพรรคการเมืองมีการหาเสียงไว้จะปรับขึ้นแบบก้าวกระโดดไปที่ 450-600 บาทต่อวัน จึงควรเน้นการเพิ่มค่าแรงจากทักษะฝีมือแรงงานมากกว่า ควบคู่กับการลดค่าครองชีพด้วย
“รัฐต้องเข้าใจค่าแรงขั้นต่ำต้องผ่านการพิจารณาโดยไตรภาคีที่ต้องมองหลายปัจจัย ถ้าค่าแรงขึ้นแต่ค่าครองชีพไม่ลด จะกลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่เมื่อขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแล้ว ค่าครองชีพกลับขึ้น ก็จะวนเวียนไปเช่นนี้ และที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่าการขึ้นค่าแรงแบบก้าวกระโดด จะลดขีดแข่งขันของประเทศและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(เอฟดีไอ) และอย่าลืมการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำส่วนใหญ่จะตกไปอยู่ที่แรงงานจากเพื่อนบ้าน ทำให้เงินหมุนเวียนกระตุ้นเศรษฐกิจไม่เต็ม 100% เพราะแรงงานเหล่านี้จะกันเงินราว 50% ส่งกลับไปยังบ้านเกิด”นายมนตรี กล่าว
ส่วนข้อเสนออื่นๆ คือ การสนับสนุนเปิดเสรีไฟฟ้า ที่เห็นตรงกับพรรคการเมืองหาเสียง เพื่อปรับโครงสร้างใหม่เป็นการลดต้นทุนด้านพลังงาน การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นโดยเฉพาะระดับนโยบายต้องทำให้เห็นเป็นรูปธรรม และนโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลเดิมทำได้ดีอยู่แล้ว ก็อยากให้สานต่อหรือต่อยอด เช่น การสนับสนุนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว(บีซีจี) เพื่อยกระดับสินค้าส่งออกของไทยให้เป็นสินค้าสีเขียว การขยายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ไปยังภาคต่างๆ เช่น เขตพัฒนาพิเศษภาคเหนือ(เอ็นอีซี) การเจรจาต่างประเทศ เพื่อขยายความร่วมมือการค้าเสรี(เอฟทีเอ)ใหม่ๆ โดยเฉพาะเอฟทีเอกับกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ(จีซีซี) อเมริกาใต้ การลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศ เป็นต้น
ด้านนายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานส.อ.ท. กล่าวว่า ส.อ.ท.ยังมองการจัดตั้งรัฐบาลเป็นแบบบวกว่าจะดำเนินการได้ และหากมองนโยบายพรรคก้าวไกลและเพื่อไทยมีหลักการคล้ายกัน แต่ต่างวิธีการทำเท่านั้น โดยการปรับขึ้นค่าแรงเป็นอีกนโยบายหนึ่งที่ห่วงเพราะหากขึ้นเร็วแบบก้าวกระโดด จะกระทบผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ขณะที่รายใหญ่มีศักยภาพในการจ่ายเพิ่มอยู่แล้วแต่ก็จะไปหนุนให้ใช้ระบบหุ่นยนต์หรือเครื่องจักรกลมากขึ้น
“ส.อ.ท.ไม่ได้คัดค้านการขึ้นค่าแรง
แต่อยากให้ตัวเลขสอดคล้องกับข้อเท็จจริง จึงหวังว่าเมื่อเป็นรัฐบาลแล้วจะหารือกันบนข้อมูลก่อนตัดสินใจ ซึ่งหลายนโยบายเป็นประชานิยม ทางประธานส.อ.ท.ก็ระบุไว้ชัดว่าทำได้แต่ต้องพอดี ต้องมีแหล่งที่มาของเงินรายได้ ซึ่งส.อ.ท.เองยินดีให้ข้อมูลและทำงานร่วมกัน”นายวิวรรธน์ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บางจากฯ ไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมันช่วงเทศกาลปีใหม่ มอบความสุขให้ผู้บริโภคซึ่งทำมาต่อเนื่องทุกปี
บางจากฯ ไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมันช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งเป็นกิจกรรมมอบความสุขให้ผู้บริโภคที่ทำมาต่อเนื่องทุกปี ตั้งแต่ 30 ธันวาคม 2568 – 4 มกราคม 2569
รบ.ตีปี๊บ 11 เดือนปี 2568 ธุรกิจใหม่จดทะเบียนกว่า 8 หมื่นราย
รองโฆษกรัฐบาล เผยธุรกิจใหม่ยังเดินหน้า! 11 เดือน ปี 2568 จดทะเบียนบริษัทกว่า 80,000 ราย สะท้อนความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย
รัฐบาลเตือนผู้รับสิทธิ์คนละครึ่งพลัสกว่า 14 ล้านรีบใช้สิทธิให้หมดในสิ้นปี!
รัฐบาลย้ำเตือนได้รับสิทธิ์ 'คนละครึ่งพลัส' กว่า 14 ล้านคน รีบใช้สิทธิใช้จ่ายเงินผ่านโครงการฯ ให้หมดภายใน 31 ธ.ค. นี้ เชิญชวนร้านค้าถุงเงินในโครงการคนละครึ่งพลัส รีบพัฒนาทักษะสำเร็จ ภายใน 19 ธ.ค.นี้
นักวิชาการ มธ. หนุนเพิ่มสมทบประกันสังคม แนะรัฐลดภาษีช่วยผู้ประกอบการ
นักวิชาการธรรมศาสตร์ เห็นด้วยปรับเพิ่มเงินสมทบประกันสังคม ระบุต้องแยกส่วนระหว่าง “ประสิทธิภาพในการบริหาร-การเพิ่มเงินสมทบ” เพราะสองเรื่องพัฒนาไปพร้อมกัน
นายกฯลงหาดใหญ่ครั้งที่ 5 นำทีมเศรษฐกิจหารือช่วยเหลือผู้ประกอบการ
นายกฯนำทีมเศรษฐกิจ-หน่วยงานการเงิน บินลงหาดใหญ่รอบที่ 5 คุยผู้ประกอบการ พร้อมลงพื้นที่สำรวจความเสียหายย่านธุรกิจตลาดกิมหยง ด้าน ‘ศุภจี’ยันมีมาตรการช่วยเหลือแน่นอน

