![](https://storage-wp.thaipost.net/2021/11/อนุสรณ์-ธรรมใจ.jpg)
9 ก.ค.2566-รศ. ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตประธานกรรมการตรวจสอบ บมจ บางจากปิโตรเลียม (บางจากคอร์ปอเรชัน) กล่าวถึงการจัดตั้งรัฐบาลว่า ความล่าช้าในการเลือกนายกรัฐมนตรี และการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีหลังทราบผลการเลือกตั้งมาเป็นเวลาร่วมสองเดือนแล้วย่อมไม่เป็นผลดีต่อภาคการลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทำให้นักลงทุนและประชาคมโลกเห็นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย จากระบอบสืบทอดอำนาจจาก คณะรัฐประหาร คสช นั้นมีอุปสรรคและมีความไม่ปรกติอยู่ ทำให้นักลงทุนสถาบันตั้งคำถามต่อมาตรฐานของระบอบประชาธิปไตยแบบไทยไทย และตั้งข้อสงสัยต่อรัฐธรรมนูญกติกาสูงสุดว่าเป็นไปตามหลักการประชาธิปไตยหรือไม่
ฉะนั้น สมาชิกรัฐสภาจึงควรร่วมมือกันในการเลือกนายกรัฐมนตรีให้ได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ภายใต้เจตนารมณ์ของเสียงส่วนใหญ่ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หากเดือนสิงหาคมยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เพื่อทำหน้าที่ในการบริหารประเทศจะกระทบต่อการแก้ปัญหาต่างๆให้กับประชาชน ประเทศสูญเสียโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและเกิดความล่าช้าในการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆตามที่ 8 พรรคร่วมฝ่ายประชาธิปไตยตั้งเป้าหมายเอาไว้ โดยเฉพาะนโยบายทางด้านสวัสดิการที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ การเดินหน้าอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน และการปะทุขึ้นของปัญหาหนี้สินในภาคธุรกิจ การขาดสภาพคล่องของกิจการต่างๆไม่สามารถทำได้อย่างเต็มศักยภาพ
“หากจัดตั้งรัฐบาลได้ภายในปลายเดือนกรกฎาคม งบประมาณปี 2567 จะล่าช้า 2-3 เดือน ยังไม่กระทบเม็ดเงินการใช้จ่ายภาครัฐที่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากนัก แต่หากการจัดตั้งยืดเยื้อไปถึงเดือนกันยายนหรือตุลาคม เราจะมีรัฐบาลรักษาการที่ไม่มีอำนาจเต็มบริหารประเทศนานถึง 6-7 เดือน โครงการลงทุนขนาดใหญ่มีผลผูกพันงบประมาณหลายปีจะไม่สามารถดำเนินการได้เลย โครงการหลายส่วนอาจต้องชะลอออกไปไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน คุณสมบัติและความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ของทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุน”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'เกณิกา' ชูผลงานแก้หนี้นอกระบบมั่นใจจบภายใน 4 ปี
'เกณิกา' เผยผลงานแก้หนี้นอกระบบของรัฐบาล สามารถไกล่เกลี่ยได้ครบ 100% มูลหนี้ลดลง 1.2 พันล้านบาท ด้านหนี้ กยศ.ยอดหนี้ต้องชำระลดลง 2.8 ล้านราย มั่นใจแก้หนี้นอกระบบจบภายในรัฐบาล