‘กสิกร’ แยกธุรกิจ เคไอวี เป็นโฮลดิ้ง เน้นกลุ่มลูกค้ารายย่อย

ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดยุทธศาสตร์สร้างการเติบโตธุรกิจในระยะยาว ประกาศแยก’บริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด’หรือ เคไอวี

2 ส.ค.  2566 – นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยถึงการจัดงานบริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด หรือ เคไอวี เป็นบริษัทโฮลดิ้งภายใต้กลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารกสิกรไทย เพื่อลงทุนในบริษัทร่วมกับพันธมิตร สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของธนาคารที่มุ่งเพิ่มอำนาจให้ทุกชีวิตและธุรกิจของลูกค้า โดยเคไอวี จะมีบทบาทสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งของธนาคารและพันธมิตร เพื่อสร้างรายได้บนความเสี่ยงที่คุ้มค่า ด้วยต้นทุนที่เหมาะสม

นางสาวขัตติยา กล่าวอีกว่า เคไอวี จะทำธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของธนาคาร จะเน้นในกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อ ซึ่งการจะทำธุรกิจกับลูกค้ากลุ่มนี้ก็จะต้องมีความแตกต่างจากเงื่อนไขของธนาคาร ต้องเปลี่ยนมายด์เซ็ตเพื่อให้สามารถเข้าถึงเขาได้

“ธนาคารได้ปรับรูปแบบการบริหารจัดการของเคไอวี โดยมีคุณพัชร สมะลาภา เข้าดำรงตำแหน่ง Group Chairman ของ เคไอวี และแยกเคไอวีออกมา เพื่อทำให้มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ ขยายความร่วมมือกับพันธมิตร ภายใต้การใช้ศักยภาพที่มีอยู่ของธนาคารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ธนาคารมั่นใจว่า การปรับครั้งนี้จะเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในการให้บริการการเงินกับกลุ่มลูกค้ารายย่อย และสร้างรายได้ใหม่ให้กับธนาคาร ทำให้ธนาคารมีกำไรทางธุรกิจที่สูงกว่าธนาคารบริหารจัดการเอง รวมทั้งทำให้ธนาคารมีการเติบโตต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน”

นายพัชร สมะลาภา Group Chairman ของ บริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด กล่าวว่า เป้าหมายของเคไอวี คือ เพิ่มความสามารถในการให้บริการการเงินกับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ซึ่งมีโจทย์สำคัญคือ ต้องลดต้นทุนการดำเนินงาน และลดต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ เพื่อให้ยังคงความสามารถในการสร้างกำไรของธุรกิจ การดำเนินงานของเคไอวีอาศัยความเชี่ยวชาญของพันธมิตรในแต่ละด้าน รวมกับการใช้โครงสร้างและทรัพยากรของธนาคารกสิกรไทยที่มีอยู่แล้ว เช่น จำนวนลูกค้ากว่า 20 ล้านราย K PLUS เงินทุน ข้อมูล ไอที และสาขา เป็นต้น ซึ่งทำให้เคไอวีมีความเข้าใจลูกค้าที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น สามารถให้บริการการเงินที่ครอบคลุมความต้องการของกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย เจ้าของร้านค้ารายเล็ก กลุ่มที่ไม่มีรายได้ประจำ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการเงินทุนเสริมสภาพคล่อง ให้สามารถใช้บริการการเงินในระบบได้มากขึ้น

สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจของเคไอวีซึ่งได้เริ่มทดลองทำธุรกิจมาจากปี 2565 นั้น บริษัทมีผลกำไร 81 ล้านบาท มียอดปล่อยสินเชื่อ 4.7 หมื่นล้านบาท มีมูลค่ารวมของสินทรัพย์ในการลงทุน 21,500 ล้านบาท และมีจำนวนบริษัทที่ลงทุนที่ 14 ราย รวมทั้งตั้งเป้าหมายในปีนี้มีกำไรสุทธิ 900-1,100 ล้านบาท ยอดปล่อยสินเชื่อ 4-4.5 หมื่นล้าน มูลค่ารวมของสินทรัพย์ในการลงทุน 2.5-3 หมื่นล้านบาท และมีจำนวนบริษัทที่ลงทุนที่ 14 ราย พร้อมกันนั้น ตั้งเป้าหมายในปี 2569 มีกำไรสุทธิ 4,500-5,000 ล้านบาท ยอดปล่อยสินเชื่อ 7.5-8.0 หมื่นล้านบาท มูลค่ารวมของสินทรัพย์ในการลงทุน6.5-7.0 หมื่นล้านบาท และมีจำนวนบริษัทที่ลงทุนที่ 14 ราย

“เคไอวีดำเนินธุรกิจภายใต้ไลเซ่นส์สินเชื่อบุคคล และนาโนไฟแนนซ์ กลุ่มเป้าหมายของเราคือกลุ่มลูกค้ารายย่อยหรือกลุ่มแมส และเอสเอ็มอีขนาดเล็กที่เข้าไม่ถึงธนาคาร ไม่มีเอกสารรายได้ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อของไลน์บีเคประมาณ 20,000 ล้านบาท รวมถึงสินเชื่อเงินได้ใจซึ่งเป็นสินเชื่อจำนำทะเบียนรถประมาณ 20,000 ล้านบาท อันนี้จะแยกมาจากบริษัทกสิกรลีสซิ่ง ส่วนอื่นได้จะมีส่วนของการสนับสนุนทางเทคฯต่างๆ และความร่วมมือกับ”พันธมิตรอื่นๆต่อไป

อนึ่ง ปัจจุบัน บริษัทที่อยู่ในโครงสร้างของเคไอวี ประกอบด้วย 14 บริษัท ใน 9 กลุ่ม ธุรกิจอาทิ บริษัท บริหารสินทรัพย์เจเค ,บริษัท บริหารสินทรัพย์เจ จำกัด, บริษัทเงินให้ใจ จำกัด ,บริษัทกสิกร ไลน์ จำกัด เป็นต้น รวมมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 30,000 ล้านบาท

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กสิกรไทย โชว์ผลประกอบการไตรมาส 1 ทำกำไร 13,486 ล้านบาท

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ปี 2567 ยังคงเผชิญข้อจำกัดในการฟื้นตัว เพราะแม้จะมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้า

กสิกรไทย-อินโนพาวเวอร์ เปิดแพลตฟอร์มขายไฟฟ้าโซลาร์ ของรายย่อย

ธนาคารกสิกรไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการลดก๊าซเรือนกระจก ร่วมกับ อินโนพาวเวอร์ ผู้บุกเบิกนวัตกรรมด้านพลังงาน เปิดตัวแพลตฟอร์มสนับสนุนการขึ้นทะเบียนและขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน

KBank ให้สินเชื่อ SLL จำนวน 10,000 ล้านบาท แก่ GC เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน

ธนาคารกสิกรไทย สนับสนุนวงเงินสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Loan : SLL) จำนวน 10,000 ล้านบาท

ค่าเงินบาทสัปดาห์หน้ายังอ่อนวิ่งในกรอบ 35.70-36.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 35.70-36.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม