
19 ธ.ค. 2564 ฝ่ายส่งเสริมเทคโนโลยีทางการเงิน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกรายงาน แนวทางการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลของ ก.ล.ต.กับมุมมองของต่างประเทศ ในปี 2564 ถือเป็นปีที่วงการสินทรัพย์ดิจิทัลได้รับความสนใจอย่างมากจากประชาชนและภาคธุรกิจทั่วโลก ทำให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (market cap) ในขณะที่ภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินแต่ละประเทศอาจมีมุมมองที่แตกต่างกัน และเมื่อไม่นานมานี้ ผู้เชี่ยวชาญจาก International Monetary Fund หรือ IMF เสนอแนะว่า ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกควรเพิ่มความร่วมมือกันในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล และควรมีมาตรฐานกลางในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อให้มีแนวทางการติดตามความเสี่ยงและกำกับดูแลการประกอบธุรกิจที่สอดคล้องกัน
มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญของ IMF
ผู้เชี่ยวชาญจาก IMF* ได้แสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับความเสี่ยงของสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นจากการที่สินทรัพย์ดิจิทัลอาจเข้ามาแทนที่ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิม (cryptoization) เช่น ใช้แทนสกุลเงินของบางประเทศ ซึ่งจะทำให้เกิดช่องว่างในการกำกับดูแลการแลกเปลี่ยนเงินตราและกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงิน รวมทั้งการที่สินทรัพย์ดิจิทัลมีราคาสูงขึ้นมาก (stretched valuation) มีความผันผวนสูง และอาจนำไปสู่ความเสี่ยงเชิงระบบ (systemic risk) ของบางประเทศได้ ประกอบกับสินทรัพย์ดิจิทัลและการให้บริการที่เกี่ยวข้องมีลักษณะไร้พรมแดน (cross border) จึงเห็นว่า Financial Stability Board (FSB) ซึ่งเป็นองค์กรที่ติดตามและ ดูแลเสถียรภาพของระบบการเงินโลก ควรจัดทำแนวทางหรือมาตรฐานกลางในระดับสากล (global framework) สำหรับการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลและการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยผู้เชี่ยวชาญจาก IMF เห็นว่า การมีกฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกันในแต่ละประเทศจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามความเสี่ยงและกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล ตลอดจนลดปัญหาด้าน regulatory arbitrage ที่ผู้ประกอบธุรกิจอาจหลีกเลี่ยงไปดำเนินธุรกิจในประเทศที่มีการกำกับดูแลที่อ่อนกว่าได้
ผู้เชี่ยวชาญจาก IMF ยังมองว่า ในปัจจุบันหน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น Financial Action Task Force (FATF) และหน่วยงานกำหนดมาตรฐานกลางอื่น ๆ (standard-setting body) ได้ออกคำแนะนำหรือแนวทางกำกับดูแลมาบ้างแล้ว แต่ยังคงขาดกลไกความร่วมมือและหลักเกณฑ์สำหรับดูแลความเสี่ยงของสินทรัพย์ดิจิทัลที่ครอบคลุมทุก ๆ มิติ ได้แก่ ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน ความน่าเชื่อถือของระบบการเงิน (market integrity) และการคุ้มครองผู้บริโภคและผู้ลงทุน
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญจาก IMF เสนอว่า แนวทางหรือมาตรฐานกลางข้างต้นควรสอดคล้องกับความเสี่ยงของสินทรัพย์ดิจิทัล (risk spectrum) และลักษณะกิจกรรม (activity) ที่เกี่ยวข้อง โดยควรคำนึงถึงประเด็นสำคัญ 3 ด้าน ดังนี้
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลในประเภทที่สำคัญ เช่น การให้บริการเก็บรักษา รับฝาก และโอนสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงการชำระราคา (settlement) เป็นต้น ควรจัดให้มีการขึ้นทะเบียน หรือให้ใบอนุญาต โดยหน่วยงานกำกับดูแลก่อนเริ่มประกอบธุรกิจ
กฎเกณฑ์กำกับดูแลควรเหมาะสมกับวัตถุประสงค์หลักในการใช้งาน (main use case) ของสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น หากเป็นการใช้งานหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน (investment) ควรกำกับดูแลในลักษณะเดียวกับหลักทรัพย์โดยหน่วยงานที่กำกับดูแลหลักทรัพย์ หรือหากเป็นบริการที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงิน (payment) ควรถูกกำกับดูแลโดยธนาคารกลางหรือหน่วยงานกำกับดูแลบริการชำระเงิน เนื่องจากการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลใด ๆ อาจมีพัฒนาการได้อย่างต่อเนื่อง หน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องจึงควรร่วมมือกันติดตามและดูแลความเสี่ยงจากการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลที่อาจเปลี่ยนแปลงไปหรือที่มีการใช้งานได้ในหลายลักษณะ
ควรกำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนสำหรับจำกัดความเสี่ยง (exposure) ในการเข้าไปถือครองหรือเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลของผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับดูแล (regulated entity) เช่น สถาบันการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ หรือบริษัทประกัน เป็นต้น รวมถึงกำหนดให้มีการประเมินความเหมาะสมในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล (suitability test) ด้วย
แนวทางการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลของไทย
สำหรับประเทศไทย การกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่ภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 (พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ) โดยปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เสนอแก้ไขพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) เพื่อนำสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีลักษณะของการระดมทุน ได้แก่ โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) และโทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ซึ่งสินค้าหรือบริการยังไม่สามารถใช้ได้ทันที (Utility Token ไม่พร้อมใช้) ภายใต้ พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ ไปกำกับดูแลภายใต้ พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นเครื่องมือในการระดมทุน ไม่ว่าจะออกเสนอขายด้วยวิธีการดั้งเดิมหรือออกเป็นโทเคนดิจิทัล ถูกกำกับดูแลภายใต้กฎหมายและมาตรฐานเดียวกัน แนวทางของ ก.ล.ต. ดังกล่าวมีความสอดคล้องกับแนวทางในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลที่ผู้เชี่ยวชาญของ IMF เสนอ โดยพิจารณาความเสี่ยงและวัตถุประสงค์ (main use case) ของสินทรัพย์ดิจิทัลแต่ละประเภทเป็นหลัก โดยแนวทางดังกล่าวยังสอดคล้องกับการกำกับดูแลของหลาย ๆ ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร สวิสเซอร์แลนด์ และสิงคโปร์ เป็นต้น
สำหรับการกำกับดูแลการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการนั้น ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก.ล.ต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างติดตามและพิจารณาแนวทางในการกำกับดูแลให้มีความเหมาะสมต่อไป
ในปี 2565 คงได้เห็นการพัฒนาและ use case ใหม่ ๆ ของสินทรัพย์ดิจิทัลอีกมาก ทั้งในส่วนที่นำมาประยุกต์ใช้ในภาคการเงินและในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ซึ่งในส่วนของการกำกับดูแลนั้น ก.ล.ต. จะมีการติดตามแนวทางในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งติดตามพัฒนาการและความเสี่ยงของสินทรัพย์ดิจิทัลโดยร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการสร้างนวัตกรรม การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และการคุ้มครองผู้ลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ยกมติรัฐสภาโลก เตือนรัฐบาล ลูบหน้าปะจมูก นานาชาติจะมองไทยเป็นเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติ
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า เมื่อผู้แทนจากรัฐสภาจากทั่วโลกมากถึง 2 ใน 3 ให้ความสนใจร่วมกันในการปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ
'โรม' สวนเดือด 'ธรรมนัส' รับงานใครมา กระทุ้ง 'นายกฯหนู' ดูแลด้วย
'โรม' สวนกลับ 'ธรรมนัส' รับงานใคร เหน็บรองนายกฯ ควรปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไม่น่าใช้ 'ธนดล' ยิ่งทำสังคมเป็นห่วง ชี้เป้า ปปง. สาวถึง 'ภรรยา เบน สมิท' กระทุ้ง 'อนุทิน' ปล่อย รมต.ขู่ฟ้องร้องไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล
'ธีระชัย' เตือน ก.ล.ต. หลังแอ่นกับ G-Token ก.คลัง ไม่มีอำนาจ ตามพ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัลฯ
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า ก.ล.ต. หลังแอ่นกับ G-Token
ซัดรัฐบาลขายฝัน ‘จี-โทเคน’ กำไรต่ำ-ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม นักวิชาการ มธ. ถามหาเงินค้ำประกัน ปชช.
“นักวิชาการธรรมศาสตร์” ตั้งคำถามรัฐบาล ออก ‘จี-โทเคน’ มีเงินบาท 5,000 ล้านแบ็คอัพค้ำประกันใหประชาชนหรือไม่ ระบุผลกำไรจาก ‘จี-โทเคน’ มีแค่ดอกเบี้ย 1-2% ซัดเอาเข้าลิสต์ศูนย์ Exchange ขายฝันประชาชน จี้ให้ข้อมูลเพิ่ม ”ก.ล.ต.-ICO Portal“ รับรองแล้วหรือไม่

