
กระทรวงแรงงาน เตรียมคาะค่าแรงขั้นต่ำปี 67 เฉลี่ยขึ้น 3.26% รอยื่น ครม. 12 ธ.ค. นี้ ด้าน “พิพัฒน์” ยันพิจารณาขึ้นทุกจังหวัด แต่รับไม่ได้! ภูเก็ตไม่ขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
8 ธ.ค. 2566 – ที่ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุม “คณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22” เพื่อพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2567 โดยกล่าวก่อนการประชุมว่า วันนี้เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายเพื่อเคาะอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ จึงมีเวลาในการประชุมนานพอสมควร โดยจะมีการเจราต่อรองเพื่อให้ได้ตัวเลขที่เหมาะสม ซึ่งจากตัวเลขที่เสนอมาจากอนุวิชาการ เฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 3.26% ของค่าจ้าง บางจังหวัดขอขึ้น 18 บาท แต่ก็มีจังหวัดที่ไม่ขอเพิ่ม ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยจะทราบหลังเสร็จสิ้นการประชุมในไม่กี่ชั่วโมงนี้ และจะมีการเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่
“หลักการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำเช่นพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่างกันในแต่ละจังหวัดซึ่งบางจังหวัดก็ไม่ขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปีนี้เพราะยังตกลงกันไม่ได้เช่นภูเก็ตมีอัตราค่าจ้างสูงแต่ถ้าดูการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของปีนี้ก็อาจาจะไม่เป็นตามที่เราคิดสุดท้ายตัวเลขจะออกมาเท่าไหร่ขอให้รอหลังประชุม” นายไพโรจน์กล่าว
ด้าน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เข้ามาแนะนำตัวครั้งแรกก่อนเริ่มการประชุม ในฐานะที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวว่า ตนพร้อมยอมรับผลการประชุมในวันนี้ เพราะก้าวก่ายไม่ได้ ถ้าเศรษฐกิจดีอย่างที่รัฐบาลคิดไว้ ตนเชื่อว่าในปีหน้า จะได้เห็นค่าจ้างขั้นต่ำขึ้น 400 บาทในหลาย ๆ จังหวัด หรือในบางจังหวัดอาจจะทะลุ 400 บาทก็เป็นได้ แต่ยืนยันว่าจะขึ้นให้ทุกจังหวัดแน่นอน อีกทั้งยังเปิดเผยว่า มี 5 จังหวัดที่ไม่ขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เช่น จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีค่าแรงขั้นต่ำสูงที่สุด 354 บาท “เขาอาจจะคิดว่าของเขาเนี่ยมีค่าแรงสูงสุด ถึงค่าแรง 354 บาท ซึ่งค่าแรง 354 บาทก็ไม่ใช่เฉพาะแค่จังหวัดภูเก็ต ยังมีจังหวัดระยอง จังหวัดชลบุรี แต่เขาก็ยังขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่ในขณะเดียวกัน จังหวัดภูเก็ตสวนทางลงมา ซึ่งตัวผมเองผมรับไม่ได้ ผมก็เรียนตรง ๆ กับสื่อนะครับว่าผมรับไม่ได้ในสิ่งที่จังหวัดภูเก็ตนำเสนอว่าไม่ขอขึ้นค่าแรง” นายพิพัฒน์กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ประกันสังคม เผยความสำเร็จการดำเนินงานบริหารการลงทุนกองทุนเงินทดแทน ปี 2567 เพิ่มผลตอบแทนถึง 8 หมื่นกว่าล้าน สร้างเสถียรภาพการจ่ายประโยชน์ทดแทนที่มั่นคง - ยั่งยืน เพื่อลูกจ้าง
นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เผยผลการดำเนินงานการบริหารลงทุนกองทุนเงินทดแทนในปี 2567 ว่า ภายใต้นโยบายสำคัญของ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่มุ่งเน้นการจัดการบริหารงานเพิ่มผลตอบแทนของกองทุนเงินทดแทน เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเงินและรองรับการจ่ายประโยชน์ทดแทนให้กับลูกจ้าง
"สิรภพ" ลุยเบตง เปิดงานสมโภชและแห่เจ้า มูลนิธิอำเภอเบตงประจำปี68 เสริมศิริมงคลพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน
นายสิรภพ ดวงสอดศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงานสมโภชและแห่เจ้ามูลนิธิ อ.เบตง ประจำปี68 โดยมีนายอิสสะมาแอ ยาโกะ นายอำเภอเบตงจ.ยะลา นายสกุล เล็งลัคน์กุล นายกเทศมนตรีเมืองเบตง หัวหน้าส่วนราชการ ประธาน คณะกรรมการ ตัวแทนสมาคมต่างๆ
“พิพัฒน์”ใส่ใจความปลอดภัย จับมือ 18 สถานประกอบกิจการยักษ์ใหญ่ ขับเคลื่อนแคมเปญ “Safety Culture Together”
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามปฏิญญาความปลอดภัยว่าด้วยการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย ระหว่างกระทรวงแรงงาน กับผู้บริหารสถานประกอบกิจการ 18 แห่ง ณ ห้องประชุมกระทรวงแรงงาน ชั้น 5 เพื่อร่วมขับเคลื่อนแคมเปญ “Safety Culture Together”
‘พิพัฒน์’ คุยข้ามทวีป 5 แรงงานในอิสราเอล ขณะประชุมผู้บริหารกระทรวงประจำเดือน เผย ทุกคนสุขภาพแข็งแรงดี ได้กินตำปลาร้าแล้ว คาดออกจาก รพ.11 ก.พ.นี้
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ต่อสายตรงวิดีโอคอลกับ 5 แรงงานไทยที่ได้รับการปล่อยตัวในอิสราเอลไปยัง รพ. Shamir Medical Center ประเทศอิสราเอล
“พิพัฒน์” ตั้งเป้า ส่งแรงงานไทยทำงานต่างประเทศ 200,000 คน 150 ประเทศทั่วโลก
วันที่ 31 มกราคม 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายด้านการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ ประจำปี 2568 โดยมีนายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายบุญสงค์
รปภ. ได้เฮ! ครม.อนุมัติกฎหมายจ่ายค่าโอที 1.25 เท่าในวันปกติ และ 2.5 เท่าในวันหยุด
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการกำหนดค่าล่วงเวลาและค่าตอบแทนการทำงานที่เกินกว่าแปดชั่วโมงในงานเฝ้าดูแลสถานที่หรือทรัพย์สินอันเป็นหน้าที่การทำงานปกติของลูกจ้าง