รบ.ลุยนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก เร่งเครื่องเจรจา FTA หลายประเทศ

โฆษกรัฐบาล เผย รบ.มุ่งขับเคลื่อน ‘นโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก’ เน้นรักษาตลาดเดิม เพิ่มการเจรจา FTA ใหม่กับประเทศเป้าหมาย ขยายการค้าตั้งเป้าได้ข้อสรุปกับเกาหลีใต้ UAE EFTA ปี 67

14 ม.ค. 2566 – นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเห็นประโยชน์และความสำคัญของความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) ในฐานะเครื่องมือเสริมสร้างขีดความสามารถส่งออกสินค้าไทยสู่ตลาดโลก โดยได้ผลักดันการเจรจาขยายโอกาสทางเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนผ่านการรักษา FTA กับประเทศคู่ค้าเดิม และจัดทำFTA กับประเทศคู่ค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงกำชับใช้ประโยชน์สูงสุดจาก FTA เอื้อให้การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ สอดรับกับ ‘นโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก’ เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทย และสร้างรายได้เข้าประเทศ

ข้อมูลจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งระบุว่า ปัจจุบันไทยได้เจรจาจัดทำ FTA สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยทั้งสิ้น 14 ฉบับกับคู่ค้า 18 ประเทศ/ดินแดน ประกอบด้วยจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย เปรู ชิลี ฮ่องกง และประเทศสมาชิกอาเซียน 9 ประเทศ และอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 11 ฉบับ โดยจะเป็นการยกระดับ FTA ที่มีอยู่แล้ว 5 ฉบับ เพื่อปรับปรุงความตกลงกับประเทศคู่ค้าเดิม และเป็นการพัฒนา FTA ใหม่ทั้งสิ้น 6 ฉบับ เพื่อขยายการค้าและการลงทุนกับประเทศคู่ค้าสำคัญเป้าหมายใหม่ในหลาย ๆ ภูมิภาค

โดยล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ได้เจรจาจัดทำ FTA กับประเทศศรีลังกาเป็นผลสำเร็จ โดยมีแผนลงนามความตกลง FTA ฉบับดังกล่าวในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งจะเป็น FTA แรกภายใต้การดำเนินงานของรัฐบาลภายใต้การดำเนินงานของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนับเป็น FTA ฉบับที่ 15 ของไทย ทั้งนี้ ในช่วงปี 2567 ไทยมีเป้าหมายในการเจรจา FTA เพิ่มเติมอีก 3 ฉบับ ได้แก่ (1) การเจรจา FTA ระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ เพื่อต่อยอดการเปิดเสรีเพิ่มเติมจาก FTA อาเซียน-เกาหลีใต้ที่มีอยู่แล้ว (2) การเจรจา FTA ระหว่างไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เพื่อสนับสนุนการส่งออกสินค้าของไทยสู่ตลาดตะวันออกกลางมากยิ่งขึ้น และ (3) การเจรจา FTA ระหว่างไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) เพิ่มเติม เพื่อสร้างความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม และในช่วงปี 2568 ไทยมีเป้าหมายในการเจรจา FTA เพิ่มเติมกับสหภาพยุโรป (EU) เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันการส่งออกสินค้าของไทยไปยังสหภาพยุโรป

FTA ทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่ถูกจำกัดการนำเข้า รับสิทธิพิเศษ และได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษี อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจทำ FTA จะต้องศึกษาข้อมูลให้ครอบคลุมทุกมิติอย่างละเอียด ซึ่งรวมถึงการศึกษาประโยชน์ ข้อท้าทาย และผลกระทบที่เกิดขึ้นจาก FTA พร้อมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนก่อนดำเนินการเจรจา เพื่อผลประโยชน์ของพี่น้องชาวไทย

นายกรัฐมนตรีสนับสนุนการเจรจาใช้ FTA เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญ ขับเคลื่อน ‘นโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก’ ให้เกิดประโยชน์จริงแก่ประชาชน โดยโฆษกรัฐบาลย้ำแนวทางการทำงานของนายกรัฐมนตรีว่า ต้องการขยายโอกาสทางการค้า และดึงดูดการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างเข้มแข็งในเวทีโลกและยกระดับความเป็นอยู่คนไทย ทำการทูตที่กินได้ จับต้องได้ ได้ประโยชน์จริง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ ผลักดันเพิ่มความคุ้มครองให้กับลูกจ้าง 11 ด้าน

นายกฯ มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน ผลักดันกฎหมายเพิ่มความคุ้มครองให้กับลูกจ้าง 11 เรื่อง ส่งเสริมแรงงานให้ได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ครอบคลุมตามกฎหมาย

รัฐบาลเตรียมต้อนรับ รมว.พาณิชย์ซาอุฯ ชี้โอกาสสำคัญต่อยอดจากนายกฯเศรษฐาเยือนซาอุฯ

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีกำหนดต้อนรับ ดร.มาญิด บิน อับดุลเลาะฮ์ อัลกอเศาะบี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ซาอุดีอาระเบีย

นายกฯ สั่งจับตาภัยแล้ง บูรณาการจัดการอย่างเป็นระบบ ดูแลประชาชนทุกพื้นที่

นายกฯ สั่งจับตาสถานการณ์ภัยแล้งเกิดแล้วในบางพื้นที่สั่งบูรณาการ จัดการอย่างเป็นระบบเพื่อบรรเทาและรับมือภัยแล้ง ดูแลประชาชนทุกพื้นที่

ไทยเนื้อหอม นักลงทุนต่างชาติ ปักหมุดตั้งสำนักงานเพิ่ม

ไทยเนื้อหอม นักลงทุนต่างชาติปักหมุดตั้งสำนักงานเพิ่ม รัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายเปิดรับการลงทุน เพิ่มโอกาสด้านเศรษฐกิจ

พรบ.งบ 67 มีผลบังคับใช้แล้ว นายกฯ เชื่อมั่นจะช่วยให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พ.ร.บ. งบฯ 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท มีผลบังคับใช้แล้ว โดยแบ่งได้ ดังนี้ งบกลาง 6.15 แสนล้านบาท

นายกฯปลื้มแบงก์รัฐขานรับลดดอกเบี้ย 0.25%

นายกฯ ชื่นชมมาตรการสถาบันการเงินของรัฐ ขานรับนโยบายประกาศลดดอกเบี้ย 0.25% ช่วยเหลือลูกค้ารายย่อย และกลุ่มเปราะบาง เป็นระยะเวลานาน 6 เดือน เริ่มตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2567 เชื่อมั่นเป็นการเพิ่มโอกาสให้ประชาชน