JCR คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ A  และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ

Japan Credit Rating Agency, Ltd. (JCR) คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ A  และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)

2 เม.ย. 2567 – นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ โฆษกสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2567 บริษัท Japan Credit Rating Agency, Ltd. (JCR) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ A และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

1. อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยสะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ระบบการเงินมีเสถียรภาพ และมีความยืดหยุ่นต่อการรับมือจากผลกระทบภายนอก (External Shocks) โดยเศรษฐกิจไทยได้ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564 และคาดว่าจะยังคงเติบโตอย่างมีเสถียรภาพในปี 2567 จากการส่งออกภาคบริการและการบริโภคของภาคเอกชน อย่างไรก็ดี ในระยะยาวเศรษฐกิจไทยอาจได้รับผลกระทบจากอัตราการเกิดที่ลดลง และประชากรผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้น

2. รัฐบาลไทยได้ใช้มาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมและจูงใจนักลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงการเน้นความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่สำคัญ อาทิ โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Hub) ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ (Automotive Supply Chain) อุตสาหกรรมไฟฟ้า และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

3. เศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโตที่ 1.9% จากการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน และการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ขณะที่การส่งออกสินค้าลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศนำเข้าชะลอตัว ทั้งนี้ การนำเข้าและส่งออกสินค้าและบริการมีความสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยในปี 2566 สัดส่วนการนำเข้าและส่งออกสินค้าและบริการมีสัดส่วนถึง 65% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) อย่างไรก็ดี รัฐบาลคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2567 จะเติบโตที่ 2.2 – 3.2%  ภายใต้สมมุติฐานว่าการส่งออกสินค้าฟื้นตัว การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนขยายตัว ตลอดจนภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

4. รัฐบาลยังคงรักษาระดับฐานะการคลังให้อยู่ในระดับดี (Good Fiscal Position) แม้ต้องกู้เงินจำนวนมากในช่วงที่เกิดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในระยะที่ผ่านมา ทำให้ต้องปรับเพดานสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จาก 60% เป็น 70% ทั้งนี้ สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ 62.4% และรัฐบาลจะยังสามารถรักษาระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 70% ได้ นอกจากนี้ หนี้สาธารณะส่วนใหญ่ยังคงเป็นหนี้ในประเทศและสัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะคงค้างอยู่ในระดับต่ำที่ 1.4%

5. ดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มกลับมาเกินดุลในปี 2566 และ JCR คาดว่า ในปี 2567 จะยังคงเกินดุลต่อเนื่องอีกทั้งทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงและสามารถรองรับผลกระทบที่เกิดจากปัจจัยภายนอก (External Shocks) ได้

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รัฐบาลอัดฉีดแพ็กเกจใหญ่ เพิ่มสภาพคล่อง SME มาตรการสินเชื่อ-คืนภาษี วงเงิน 3.27 แสนล้าน

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 มีมติเห็นชอบมาตรการ “Quick Big Win เพื่อ SMEs ไทย

นักวิชาการชี้ เศรษฐกิจไทยถดถอยทางเทคนิคแล้ว แนะยังไม่เหมาะสมขึ้น VAT

รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

นักวิชาการ มธ. เชื่อ ‘จีดีพี Q4’ 1.1% ไม่เกินจริง หนุนรัฐปูพรมถก FTA ดันส่งออก  

นักวิชาการธรรมศาสตร์ เชื่อมีความเป็นไปได้ที่จีดีพีไตรมาส 4 จะอยู่ที่ 1.1% ชี้แม้ไม่บรรลุผลเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ

มวยไทยมาสเตอร์ฯปิดที่ออสเตรเลีย ภาพรวมตลอดปีทะลุเป้า มูลค่าเศรษฐกิจไทย 3,200ล้าน

ปิดฉากโครงการ "มวยไทย มาสเตอร์ คลาส 2025" ที่ออสเตรเลีย ชาวออสซี่ให้ความสนใจฝึกมวยไทยกับ 3 นักชกดัง แสนชัย พี.เค. แสนชัยมวยไทยยิม, เพชรมั่งคง เพชรเฟอร์กัส และ นำศักดิ์น้อย ยุทธการกำธร เผยภาพรวมปี 2568 รวม 10 ประเทศที่จัดงานสร้างมูลค่าให้เศรษฐกิจไทยกว่า 3,200 ล้านบาท