สสว.เผยภาระหนี้สินของ SME ไตรมาส 4/67 มีสัดส่วนทรงตัวที่ 65.0%

สสว.เผยภาระหนี้สินของ SME ไตรมาส 4/67 มีสัดส่วนทรงตัวที่ 65.0% ชี้ปัญหากำลังซื้อต่ำ-พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน และการแข่งขันสูงกระทบผู้ประกอบการ จี้รัฐควรเร่งออกมาตรการหนุนการเข้าถึงสินเชื่อ

3 ก.พ. 2568 – นางสาวปณิตา  ชินวัตร  รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) รักษาการแทน ผอ.สสว. เปิดเผยผลสำรวจสถานการณ์ด้านหนี้สินกิจการของ SME ไตรมาส 4 ปี 2567 ซึ่งเป็นการสำรวจข้อมูลรายไตรมาสต่อเนื่องโดย สอบถามผู้ประกอบการ SME จำนวน 2,752 ราย ใน 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 15 – 27 ธ.ค. 67 พบว่า ผู้ประกอบการ SME ที่มีภาระหนี้สินมีสัดส่วนใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนอยู่ที่ 65.0% จาก 65.3% เมื่อพิจารณาตามขนาดธุรกิจ พบว่า ธุรกิจขนาดกลางและธุรกิจรายย่อย มีสัดส่วนภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นเป็น 97.1% และ 61.3% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนธุรกิจขนาดย่อมมีภาระหนี้สินลดลงมาอยู่ที่ 71.5%

ทั้งนี้ จากผลสำรวจระบุว่า SME เผชิญปัญหาการชำระหนี้มาตั้งแต่ช่วงปี 2563 จากต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น และเผชิญปัญหาต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยด้านกำลังซื้อต่ำ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงผลกระทบจากการแข่งขันของคู่แข่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ไม่สามารถขายสินค้า/บริการได้ จึงส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ อีกทั้งการเข้าถึงวงเงินสินเชื่อจากแหล่งเงินต่าง ๆ ยังไม่เพียงพอ รวมถึงระยะเวลาสัญญาสินเชื่อที่สั้นเกินไป เกณฑ์การเข้าถึงสินเชื่อที่เข้มงวดมากตลอดช่วงหลังการฟื้นตัวจากโควิด ขั้นตอนการกู้ยืมเงินที่ยุ่งยาก และการขาดความรู้หรือที่ปรึกษาทางการเงิน จึงกลายเป็นปัญหาและอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ SME มีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น

เมื่อพิจารณาสัดส่วนประเภทแหล่งเงินกู้เปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า พบว่า ธุรกิจรายย่อยและขนาดกลางมีการพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบสถาบันการเงินเพิ่มมากขึ้น โดยธุรกิจรายย่อยหันไปพึ่งพาแหล่งเงินจากนายทุนเงินกู้เพิ่มมากขึ้น จาก 1.3% เป็น 7.4% ส่วนธุรกิจขนาดกลางมีการกู้ยืมเงินทุนจากเพื่อน/ญาติพี่น้องเพิ่มขึ้น จาก 16.2% เป็น 18.2% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ธุรกิจขนาดย่อมพึ่งพาแหล่งกู้เงินในระบบสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารของรัฐ ธนาคารพาณิชย์ บัตรเครดิต/บัตรกดเงินสด เพิ่มมากขึ้น จาก 56.1% เป็น 69.7% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม ภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือกระตุ้นให้เกิดการสร้างรายได้ เพื่อให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในการเพิ่มการใช้จ่ายหรือกำลังซื้อ รวมถึงมาตรการด้านสินเชื่อ เช่น การเพิ่มความยืดหยุ่นของหลักเกณฑ์ในการยื่นขอสินเชื่อให้ครอบคลุมผู้ประกอบการทุกสาขาธุรกิจ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการไปพึ่งพาแหล่งกู้ยืมเงินที่ไม่เหมาะสมหรือผิดประเภทเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ควรมีการส่งเสริมองค์ความรู้ด้านการบริหารเงินทุน ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ให้คำปรึกษาในการวางแผนธุรกิจ 

เพิ่มเพื่อน