
‘แบงก์ชาติ’ ห่วงลงทุนชะงักกดเศรษฐกิจระยะสั้นชะลอ แนะเก็บกระสุนรับความเสี่ยง ประเมินจีดีพีไทยปีนี้โตดีสุด 2% เลวร้ายสุด 1.3% มองสหรัฐฯ-จีน ส่อแววจูบปากลดภาษีนำเข้า ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดการค้าโลก มีผลบวกกับเศรษฐกิจไทย
14 พ.ค. 2568 – นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (Potential Growth) อยู่ที่ 2.5-3% หรือต่ำกว่า 3% เล็กน้อย สิ่งที่เป็นห่วงค่อนข้างมาก คือ การลงทุนต่ำที่ต่อเนื่อง เป็นต้นตอที่ทำให้ศักยภาพเศรษฐกิจไทยชะลอลง โดยในภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน สิ่งแรกที่ชะลอ คือ การลงทุน ทำให้เศรษฐกิจระยะสั้นชะลอ แต่ระยะยาวจะขึ้นกับการปรับตัวของธุรกิจและซัพพลายเชน และความชัดเจนของนโยบายการค้าที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ส่วนนโยบายการเงินเป็นประเด็นรอง ๆ เพราะผู้ประกอบการอาจไม่ได้ดูต้นทุน แต่เป็นเรื่องของความชัดเจนของนโยบาย และกฎระเบียบความยากง่ายในการทำธุรกิจ ซึ่งนโยบายการเงินจะมาเป็นตัวเสริม
“สิ่งที่เกิด Shock รอบนี้ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการค้าการขาย หากโลกใหม่ไทยไม่ปรับตัว ทำให้ศักยภาพการเติบโตของไทยจะปรับลดลงได้อีก เนื่องจาก Shock รอบนี้เข้ามาในภาคการผลิต จึงต้องช่วยเร่งการลดต้นทุน การขยายตลาด เพื่อลดผลกระทบภาคการผลิต และมาตรการป้องกันสินค้าราคาถูกด้อยคุณภาพทะลักเข้ามาแข่งขัน” นายปิติ กล่าว
ทั้งนี้ หากถามว่าเศรษฐกิจในรูปแบบไหนจึงจะไม่มีความจำเป็นต้องเก็บกระสุน หรือ ขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) เป็นอย่างไร จะเห็นว่า Policy Space มี Room ไม่มากแล้วหลังดอกเบี้ยปรับลดลงมาอยู่ที่ 1.75% ต่อปี หากดูประเทศอื่นในภาวะดอกเบี้ยต่ำ แรงกระตุ้นจากการลดดอกเบี้ยจะน้อยลง และการส่งผ่านจะลดลง ซึ่งการเก็บ Policy Space ไว้เพื่อใช้รองรับโลกในระยะข้างหน้าที่มีความเสี่ยงหลากหลาย และอาจมีความจำเป็นต้องใช้กระสุนช่วงนั้นน่าจะดีกว่า
นางปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า ภาพรวมการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่มีการลดภาษีสินค้านำเข้า (Reciprocal Tariffs) และเลื่อนการขึ้นภาษีออกไปอีก 90 วันนั้น ช่วยลดความตึงเครียดและมีผลเชิงบวกกับเศรษฐกิจโลกและไทย ซึ่งดีกว่าที่ ธปท.ประเมินฉากทัศน์ไว้ โดยผลเชิงบวกต่อไทย คือ การค้าโลกไม่ลดลง ซึ่งไทยเป็นซัพพลายเชนของจีน และจีนส่งออกไปสหรัฐฯ เร็วขึ้นก่อนครบกำหนด 90 วัน ส่งผลให้สินค้าที่จะเข้าไทย และสินค้าที่จะมีการแข่งขันกับสินค้าไทยในตลาดอื่นปรับลดลง
ทั้งนี้ ทิศทางเศรษฐกิจไทยปรับลดลง โดยจากการประเมินฉากทัศน์ปีนี้อาจเติบโตได้ราว 2% และกรณีเลวร้ายอาจเหลือ 1.3% โดยความเสี่ยงมาจากภาคต่างประเทศ จึงมีความเสี่ยงด้านต่ำสูงขึ้น ซึ่งสัญญาณกระทบการลงทุนชะงักจากความไม่แน่นอน มูลค่าการส่งออกปรับลดลง แต่สินค้าโภคภัณฑ์ปรับลดลงจากดีมานด์โลกชะลอ แต่เบื้องต้น sector ที่ได้รับผลกระทบ จะเป็น ยางล้อ และชิ้นส่วนรถยนต์ เนื่องจากมีการเก็บภาษีอัตรา 25% ไปก่อนหน้า แต่สิ่งที่ห่วง คือ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าทะลักเข้ามา เช่น เครื่องนุ่งห่ม สิ่งทอ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะมีปัญหาในเรื่องโครงสร้าง ซึ่งจะยิ่งเปราะบางมากขึ้น อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามพัฒนาการของการเจรจาของไทยและประเทศอื่น และมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า ภาพรวมตัวเลขจีดีพี ไตรมาส 1/2568 ยังคงไม่เห็นผลกระทบจากสงครามการค้า หรือจากภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs)) ของสหรัฐ เพราะมีการเร่งส่งออกไปมากแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ และยังคงต้องรอดูตัวเลขจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ที่จะออกมาด้วย
“คงไม่เห็นตัวเลขจีดีพีต่อไตรมาสติดลบ แม้ว่า Shock จะใหญ่และยาว แต่ไทยเคยเจอ Shock ที่ใหญ่กว่านี้มาแล้ว สะท้อนจากฉากทัศน์ที่ไม่เห็นการเติบโตติดลบ เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ในแต่ละไตรมาสเช่นกัน” นายสักกะภพ กล่าว
นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า ภาพรวมอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้และปีหน้ามีโอกาสลดต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย 1-3% จาก Supply Shock ของราคาน้ำมันในตลาดโลก และมาตรการค่าครองชีพ โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวไม่ได้สะท้อนภาวะเงินฝืด และเงินเฟ้อระยะปานกลางยังยึดอยู่ในกรอบ