
‘ขุนคลัง\’ การันตีหุ้นไทยไม่ไร้เสน่ห์ โวดัชนีลดน้อยสุดแม้เจอพายุภาษีทรัมป์กดดัน ลุยถกกองทุน-นักลงทุนสถาบัน ชวนปรับพอร์ตลงทุนหุ้นไทยเพิ่ม บี้เร่งแก้กฎหมายติดดาบ ตลท. เพิ่มอำนาจสอบสวน-สั่งฟ้อง พร้อมรับปี 2568 จีดีพีสะดุด หวิดโต 1.2% แจงรัฐบาลปรับทัพใหม่ เบรกดิจิทัลวอลเล็ต โยกงบ 1.57 แสนล้านบาท ปลุกลงทุนขนาดเล็ก หวังบูมเร็ว
26 พ.ค. 2568 – นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง กล่าวว่า มองว่าหุ้นไทยยังมีเสน่ห์ตราบใดที่นักลงทุนมีความเข้าใจในปัจจัยพื้นฐานสำคัญของการลงทุน และหุ้นไทยในปัจจุบันค่อนข้างมีเสถียรภาพ แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวลดลงมาจาก 1,400 จุด มาอยู่ที่ราว 1,200 จุด แม้ว่าจะเจอปัจจัยเสี่ยงจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ แต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ปรับตัวลดลงน้อยกว่าเพื่อนบ้าน สะท้อนว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจจะถึงจุดที่อยู่ได้ แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่เข้ามากดดันที่ร้ายแรงกว่านี้
นอกจากนี้ มองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นเป็นส่วนหนึ่งที่จะเป็นพลังในการผลักดันเศรษฐกิจที่จะขาดไม่ได้ ดังนั้น การทำให้ตลาดหุ้นมีความเข้มแข็ง มีความแข็งแรง ถือเป็นเสน่ห์ของการลงทุนและนักลงทุน ดังนั้นจึงพูดได้ว่า “หุ้น” เป็นของคู่กันกับระบบเศรษฐกิจ หากตลาดหุ้นมีความหวังและเข้าใจระบบเศรษฐกิจว่าจะเดินไปในทิศทางใด นั่นคือ โอกาสในการลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเช่นกัน
“หุ้นไทยเวลานี้ยังมีเสน่ห์ของตัวเอง เพียงแต่ว่าจะมองมุมไหน ไทม์มิ่งอะไรและมองอย่างไร ทุกการเคลื่อนไหวของดัชนีจะมีเสน่ห์แฝงอยู่ ดังนั้นหากนักลงทุนเข้าใจองค์ประกอบ การเปลี่ยนแปลง และไซเคิ้ล ก็จะเป็นดอกาสในการลงทุนที่ดี” นายพิชัย กล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของแนวโน้มเศรษฐกิจไทยหนีไม่พ้นระบบเศรษฐกิจโลก ที่วันนี้เศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะ และเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะในเรื่องการแข่งขันทางการค้า การแย่งชิงอำนาจทางการค้าของประเทศมหาอำนาจ รวมไปถึงปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้เศรษฐกิจในขณะนี้มีความไม่แน่นอนเยอะ สลับซับซ้อนสูง และยากต่อการคาดเดาโดยเฉพาะจากกติกาการค้าใหม่ที่กำลังเดินอยู่ ซึ่งต้องมาติดตามกันต่อว่าไทยจะเอาอย่างไร จะเดินอย่างไร และทั้งหมดจะมีผลให้ตลาดทุนจะต้องคิดอย่างไรเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า
นายพิชัย กล่าวอีกว่า ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาการเติบโตของตัวเลขเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ขยายตัวต่ำต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับในอดีต และยังเติบโตต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และเติบโตต่ำกว่าศักยภาพด้วย โดยในปี 2568 เดิมรัฐบาลตั้งเป้าหมายจีดีพีขยายตัวได้มากกว่า 3% แต่ตอนนี้การเติบโตน่าจะสะดุดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่อาจทำให้การส่งออกสะดุดจนกว่าจะได้ข้อยุติ ขณะที่หลายสำนักพยากรณ์เศรษฐกิจประเมินว่าจีดีพีปีนี้จะหายไปตั้งแต่ 1% ถึง 1% กว่า โดยมีการประเมินว่าตัวเลขจีดีพีในปีอาจจะเหลือ 1.2-1.8% แม้ว่าตัวเลขจีดีพีในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของไทยจะขยายตัวได้เกิน 3% ทุกไตรมาสก็ตาม ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่รัฐบาลจะต้องมาจัดทัพในการกระตุ้นเศรษฐกิจกันใหม่
โดยสิ่งที่รัฐบาลเร่งดำเนินการ คือการชะลอโครงการดิจิทัลวอลเล็ตไปก่อน และโยกงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท มาเร่งดำเนินการในโครงการที่สามารถทำได้รวดเร็วภายใน 3 เดือน โดยเน้นไปที่โครงการขนาดเล็กที่จะมีผลในเวลาอันสั้น และสามารถเชื่อมโยงไปถึงการเติบโตของเศรษฐกิจและงบประมาณในปี 2569 เพื่อต่อยอดการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง สนับสนุนการลงทุนที่ไทยขาดหายไปกว่า 15 ปีที่ผ่านมา โดยหลัก ๆ เน้นไปที่การลงทุนเรื่องน้ำ การขนส่ง อินฟาสตรัคเจอร์ การท่องเที่ยว และเรื่องที่ดิน เนื่องจากขณะนี้นักลงทุนต่างชาติส่งสัญญาณว่าพร้อมจะเข้ามาลงทุน และรัฐบาลอยู่ระหว่างเร่งแก้ปัญหาเรื่องที่ดิน โดยอาจจะพิจารณาให้สิทธินักลงทุนต่างชาติใช้ที่ดินของรัฐในการลงทุน 99 ปี มองว่าป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากเราไม่อยากขายที่ดินให้ต่างชาติ โดยกำลังเร่งพยายามทำเรื่องนี้อยู่ รวมถึงจะมีการเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ เพื่อไม่ให้กลุ่มนี้ตกหลุมอากาศไปด้วย
“จำเป็นต้องเร่งแก้เชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะการเร่งลงทุน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้า สร้างอำนาจในการต่อรองให้กับผู้ประกอบการในภาคส่งออก โดยต้องเป็นการลงทุนที่เหมาะกับยุคสมัย มีต้นทุนแข่งขันได้ ขณะที่รัฐเองก็ต้องเร่งแก้ปัญหาในเรื่องกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนที่ง่ายขึ้น แก้ปัญหาเรื่องโครงสร้างทางภาษี สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือรัฐบาลไม่สามารถจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้าหมาย เช่น เราเคยเก็บภาษีได้ 16% ขณะที่ประเทศอื่นเก็บได้ 18% แต่ตอนนี้เราเก็บภาษีได้แค่ 14% แปลว่าโครงสร้างเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลง ก็ต้องมาดูวิธีเก็บภาษีที่ต้องเปลี่ยนใหม่ ภาษีบางชนิดโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่องคนต้องเข้าไปดู เพื่อสร้างบุคคลากรขึ้นมาช่วยพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ อะไรที่สร้างแล้วช่วยทำให้เกิดความสามารถในการแข่งขัน ต้องเร่งดำเนินการ” นายพิชัย ระบุ
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นนั้น อาจจะต้องมีการทบทวนนโยบายหลายเรื่องเพื่อสนับสนุนการลงทุน โดยก่อนหน้านี้ได้มีการหารือกับกองทุนหลายแห่งเพื่อหารือแนวทางในการทบทวนนโยบายการลงทุนของกองทุน นักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่ อาทิ กลุ่มประกันภัย กลุ่มประกันชีวิต เพื่อแก้ไขกติกาให้กองทุน หรือนักลงทุนสถาบันเหล่านี้สามารถกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่ส่วนใหญ่เน้นลงทุนแต่พันธบัตรรัฐบาลเท่านั้น ซึ่งเบื้องต้นกองทุนส่วนใหญ่มองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงมาเยอะ อาจจะเป็นจุดที่จะต้องมาดูว่าควรจะปรับสัดส่วนหรือเกณฑ์การลงทุนในหุ้นไทยหรือไม่
ขณะเดียวกันตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะต้องปรับปรุงตัวเองให้แข็งแกร่ง สามารถสนับสนุนให้นักลงทุนมองการลงทุนในระยะยาวเป็นหลัก บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่จะต้องมีการปรับโครงสร้างให้สอดคล้องกับทิศทางโลก โดยเฉพาะเรื่อง Green และ ESG ขณะที่บริษัทขนาดเล็ก จำเป็นต้องได้รับโอกาส และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อต่อยอดให้เป็นบริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่ต่อไป ด้านการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ยังค้างอยู่จะต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะการสร้างความไว้วางใจและความมั่นใจ
“กำลังเร่งแก้ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ต้องสร้างความมั่นใจและความไว้วางใจ ผ่านการป้องกันการเก็งกำไรผิดปกติ เช่น การขายหุ้นโดยที่นักลงทุนไม่ได้ถือหุ้นนั้นอยู่จริงก่อนที่จะส่งคำสั่งขาย (Naked short sell) การใช้ Algorithmic Trading หรือระบบเทรดอัตโนมัติ คือการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นอย่างไม่เป็นธรรม พร้อมทั้งต้องทำให้หน่วยงานมีอำนาจในการสืบสวนเอง หรือสืบสวนร่วม สั่งฟ้อง หรือส่งเรื่องให้อัยการได้ด้วยตัวเอง เรื่องนี้ถ้ายิ่งทำช้า ความเชื่อมั่นจะยิ่งหาย” นายพิชัย กล่าว
ส่วนการไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากตลาดต่างประเทศที่มีความผันผวน และราคาทองที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก และสะท้อนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย แต่สุดท้ายต้องมาดูว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้ามานี้มีการไหลออกไปด้วยหรือไม่ แต่เชื่อว่าส่วนใหญ่จะหยุดดูก่อนที่จะมูฟออกไป หรือหากมูฟออกไปแล้วก็จะกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยใหม่ มั่นใจว่าทุกคนไม่ได้ทิ้งหุ้นไทย เพียงแต่เขายังรอดูว่าไทยจะทำอะไรต่อไป
ทั้งนี้ จะต้องมีการเร่งปลดล็อก พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กับพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักลงทุนที่อยู่ใน พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ สามารถข้ามไปลงทุนใน Digital Asset ได้ ขณะเดียวกันรัฐบาลยังเดินหน้าการเสนอขายโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (Government Token : G-Token) วงเงิน 5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งในการกู้เงินของรัฐบาลที่เปลี่ยนจากการกู้เงินผ่านการขายพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งอาจจะไม่คล่องตัว เป็นการขายผ่านวิธีการใหม่ที่จะสนับสนุนนักลงทุนรายย่อย ตลาดรอง ให้มีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของแนวคิดเรื่องการใช้คริปโตเคอร์เรนซี่ผูกกับบัตรเครดิตเพื่อใช้ในการซื้อสินค้าได้นั้น ตามหลักการแล้วเรื่องนี้สามารถทำได้เลย เพราะมีระบบรองรับอยู่ และในต่างประเทศก็มีการดำเนินการเรียบร้อยแล้ว แต่ในส่วนของประเทศไทยจะต้องมีการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อน เพื่อทำความเข้าใจในมิติต่าง ๆ


