
‘พาณิชย์’ เกาะติดสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน เผยยังไม่กระทบต่อการส่งออกของไทย แต่หากบานปลายถึงขั้นปิดช่องแคบฮอร์มุซ ที่เป็นเส้นทางสำคัญขนส่งน้ำมันของตะวันออกกลางและของโลก จะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น กระทบต้นทุนการผลิต การขนส่ง และค่าระวางเรือ
19 มิ.ย. 2568 – นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค.ได้ติดตามสถานการณ์ความรุนแรงระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน พบว่า ยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย เพราะการโจมตียังจำกัดอยู่ในสองประเทศ และยังไม่มีการปิดกั้นเส้นทางการค้าและการขนส่ง แต่มีสิ่งที่น่ากังวล คือ หากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ที่เป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันสำคัญของตะวันออกกลางและของโลก มีปริมาณขนส่งถึง 20-30% ของการค้าน้ำมันทั่วโลก จะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นทันที ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าของไทย ค่าขนส่ง และค่าระวางเรือมีโอกาสเพิ่มขึ้น จึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
สำหรับมูลค่าการส่งออกของไทยกับสองประเทศ อยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก โดยปี 2567 อิสราเอลเป็นคู่ค้าอันดับที่ 39 ของไทย มีมูลค่าการค้า 1,281 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 0.21% ของมูลค่าการค้ารวมของไทย ส่วนอิหร่านเป็นคู่ค้าอันดับที่ 86 มูลค่าการค้า 207.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 0.03% ของมูลค่าการค้ารวมของไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังทั้งสองฝ่ายเปิดฉากโจมตีตอบโต้กันอย่างดุเดือด ทำให้รัฐบาลหลายประเทศ แจ้งพลเมืองให้ออกจากพื้นที่เสี่ยง โดยอิสราเอลส่งเครื่องบินรับพลเรือนกลับประเทศ หลังสั่งปิดน่านฟ้ามาตั้งแต่เริ่มโจมตีอิหร่าน ขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรียกร้องให้อิหร่านยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข แต่ผู้นำสูงสุดของอิหร่านประกาศกร้าวไม่ยอมแพ้ให้กับอิสราเอลอย่างเด็ดขาด โดยมี 20 ชาติอาหรับและมุสลิมออกแถลงการณ์ร่วมประณามอิสราเอลที่โจมตีอิหร่าน ส่งผลให้สหรัฐฯ เสริมขีดความสามารถในตะวันออกกลาง เพื่อปกป้องฐานทัพสหรัฐฯ ท่ามกลางการโจมตีระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน
ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทน้ำมัน ได้ส่งสัญญาณเตือนถึงความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้น จะส่งผลกระทบทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น


