09 ก.ค.2568 - นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “แคนดิเดตชิงผู้ว่าแบงก์ชาติ” ระบุว่า มีสื่อต่างประเทศถามความเห็นผมเกี่ยวกับ 2 คนสุดท้ายที่เข้าชิงตำแหน่งผู้ว่าแบงก์ชาติ คือ ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส ปัจจุบันรองผู้ว่าการ ธปท. กับนายวิทัย รัตนากร ปัจจุบันผู้อำนวยการธนาคารออมสิน
ผมให้ความเห็นไปแต่ปรากฏว่าไม่นำไปเผยแพร่ ผมจึงเห็นสมควรเผยแพร่ในที่นี้
ผมชื่นชมผลงานของทั้งสองคน แต่กังวลว่าทั้งสองคนยังน่าจะยังไม่มีความเหมาะสมในบริบทของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มจะพาให้เศรษฐกิจไทยเผชิญความยากลำบากมากขึ้น
นายวิทัยจบการศึกษาภายในประเทศ และปริญญาโทจาก Drexel University ซึ่ง Wall Street Journal จัดคุณภาพเป็นอันดับ 54 ของมหาวิทยาลัยสหรัฐ ส่วน Forbes จัดเป็นอันดับ 146
นายวิทัยมีประสบการณ์สูงในการบริหารสถาบันการเงินภาครัฐ และได้ผ่านการประสานงานกับรัฐมนตรีคลังและภาคการเมืองมามากมาย แต่ขาดประสบการณ์ด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและการมองภาพรวมของประเทศ นอกจากนี้ ยังอาจก่อให้เกิดความกังวลต่อนักวิเคราะห์สากลในแง่ขาดความเป็นอิสระจากอิทธิพลการเมืองได้ด้วย
ดร.รุ่งจบการศึกษาจาก Harvard และ MIT ซึ่งทั้งสองแห่งคุณภาพอยู่ระดับ Top ten ของสหรัฐ จึงมีความเด่นในด้านความรู้ที่จะแสดงในทุกเวทีโลก
ดร.รุ่งมีประสบการณ์สูงในการทำงานที่ ธปท. ด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและการมองภาพรวมของประเทศ แต่ก็คงจะเดินหน้าตามแนวทางที่ ธปท. กระทำมาตลอด ซึ่งผมเกรงว่าอาจจะไม่ทำให้ประเทศได้ประโยชน์สูงสุดในโจทย์ยากที่รออยู่ข้างหน้า
ผมมีความเห็นว่า ธปท. ดำเนินนโยบายสถาบันการเงินที่มีการแข่งขันน้อยเกินไป เป็นเทรดิชันมานาน ทำให้ขาดแรงกดดันการกระจายสินเชื่อลงไปสู่ SME และขาดแรงกดดันที่จะบีบส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยรับกับดอกเบี้ยจ่ายให้แคบลง
ในด้านการดำเนินนโยบายการเงิน ผมก็เห็นว่า ธปท. ทำนโยบายตึงเกินไปอันเป็นการตีกรอบแคบให้เศรษฐกิจไทย
ปัญหาคือ ถึงแม้ ธปท. ยึดหลักนโยบายการเงินที่กำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ แต่ใช้เครื่องมือบริหารโปร่งใสเพื่อให้เข้าเป้าหมายดังกล่าวเพียงเครื่องมือเดียวคืออัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยมิได้ถูกบังคับให้ต้องแถลงเป้าหมายปริมาณเงินที่สมควรเพิ่มในแต่ละปี รวมทั้งมีการบริหารค่าเงินบาทที่แข็งเกินคู่แข่งในหลายภูมิภาค
ผมอ้างอิงข้อมูลของ ส.สตีฟ แฮงคี้ ซึ่งสอนอยู่ที่ ม.จอห์น ฮอบกิ้นส์ ในสหรัฐ ซึ่งคำนวณว่า ธปท. เพิ่มปริมาณเงินในอัตราต่ำเพียง 2.86% ต่อปีเท่านั้น จึงทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำไป และอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจริง จึงขยับขึ้นแทบไม่ถึงกรอบขั้นต่ำ คือ 1% ต่อปี
ทั้งนี้ กรณี ธปท. ต้องการจะให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นจากระดับต่ำมากในปัจจุบัน ให้ขึ้นไปจนถึง 1% ต่อปี นั้น ธปท. จะต้องเพิ่มปริมาณเงินเข้าระบบให้สูงกว่า 2.86% ต่อปีอีกมาก โดยคำนวณว่า จะต้องเพิ่มปริมาณเงินมากถึง 5.44% ต่อปี
ส่วนกรณี ธปท. ต้องการดันให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นไปแตะเพดานด้านสูงในกรอบ คือ 3% ต่อปี ธปท. จะต้องเพิ่มปริมาณเงินมากถึง 7.44% ต่อปี เป็นอันว่า อัตราเพิ่มปริมาณเงินของ ธปท. ที่ 2.86% ต่อปี นั้น ต่ำเกินไปอย่างหายห่วง
การอัดฉีดเงินเข้าระบบต่ำเช่นนี้ ถือได้ว่าช่วยให้ ธปท. ทำงานง่าย เมื่อกดอัตราเงินเฟ้อเอาไว้ต่ำ ก็คือระบบการเงินมีเสถียรภาพสูง แต่เศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ ประชาชนย่อมได้ประโยชน์จากการทำงานของ ธปท. ไม่เต็มที่
ในด้านนโยบายสถาบันการเงิน ผมเคยเรียกร้องหลายครั้งทั้งต่อกระทรวงการคลัง และ ธปท. ให้กระตุ้นให้ระบบแบงค์แข่งขันกันมากขึ้น เพื่อกดดันให้แบงค์ต้องหันไปสนใจลูกค้ารายย่อย SME แต่มีการดำเนินการเรื่องนี้น้อยมาก
ในด้านนโยบายการเงิน ล่าสุด ผมมีคำแนะนำ ให้ รมว.คลัง กำหนดให้ ธปท. ใช้อัตราเพิ่มประมาณเงินเป็นเครื่องมือเสริมในการบริหารนโยบายการเงิน คือใช้ควบคู่ไปกับดอกเบี้ยนโยบายซึ่งเป็นอีกเครื่องมือหนึ่ง โดยให้ ธปท. กำหนดอัตราเพิ่มปริมาณเงิน ซึ่งจะมีผลทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นไปถึงระดับกึ่งกลางของกรอบ 1-3 % ต่อปี เสนอต่อ รมว.คลัง แจ้งต่อ ครม. เพื่อรับทราบ และกำหนดให้ ธปท. ต้องรายงานอัตราเพิ่มปริมาณเงินที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละเดือน เปรียบเทียบกับเป้าหมายดังกล่าว รวมทั้งเปิดเผยตัวเลขต่อสาธารณะ
ด้วยวิธีนี้ อัตราเงินเฟ้อจะเคลื่อนเข้าสู่ระดับกึ่งกลางของกรอบ 1-3 % ต่อปี ได้อย่างชัดเจน ปริมาณเงินจะมีเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงระดับการขยายตัวของเศรษฐกิจ และเนื่องจากการเพิ่มปริมาณเงินเป็นสิ่งที่ ธปท. สามารถควบคุมได้ 100% จึงจะเป็นวิธีการประสานงานระหว่าง ธปท. กับกระทรวงการคลังที่จะเกิดประสิทธิผลอย่างแท้จริง
แทนที่จะเป็นดังเช่นปัจจุบัน ที่ ธปท. รายงานต่อ รมว.คลัง เพียงว่าอัตราเงินเฟ้อไม่ได้ขึ้นไปถึงระดับต่ำสุด 1% ต่อปี โดย ธปท. ไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างจริงจัง นอกจากนี้ ควรเปลี่ยนแปลงการบริหารค่าเงินบาท จากปัจจุบันที่ ธปท. เป็นผู้ดูแลแต่เพียงองค์กรเดียว ให้เปลี่ยนเป็น ธปท. พิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง อันเป็นแนวทางที่ดำเนินการอยู่ในหลายประเทศ เพราะสำหรับ ธปท. นั้น การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น จะทำงานได้ง่าย เพราะจะมีผลดีในแง่กดให้อัตราเงินเฟ้อต่ำลง เสถียรภาพดีขึ้น
แต่ในเวลาเดียวกัน จะไม่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในสภาวะปัญหาสงครามเศรษฐกิจการค้าที่กำลังเกิดขึ้น
ผมย้ำอีกครั้งว่า แคนดิเดตททั้งสองคนเป็นบุคลากรคุณภาพคับแก้วชั้นนำของประเทศ แต่ยังมีข้อกังวลว่า จะไม่ตอบโจทย์ยากที่รออยู่ข้างหน้า
โจทย์ข้างหน้า ธปท. จะต้องไม่ลอยตัวอยู่เหนือปัญหาประจำวัน แต่จะต้องลงไปคลุกฝุ่น จะต้องช่วยกันปลุกปล้ำ เอาประเทศชาติให้รอด ถึงแม้จะทำให้ผู้ว่าฯ ขาดโอกาสได้รางวัลใหญ่โต ด้านรักษาเสถียรภาพการเงิน แต่ประชาชนที่ปากท้องอิ่มขึ้น จะสรรเสริญ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ธีระชัย' ผ่าทางตันภัยพิบัติ! ชี้วินัยคือทางรอด
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
'อนุทิน' เผยยึดตาม 'ทวี' ทูลเกล้าฯ ฎีกาทักษิณ
'อนุทิน' ปัดสกัด 'ทักษิณ' ช่วยเพื่อไทยหาเสียงเลือกตั้ง หลัง รมว.ยธ. สั่งปรับปรุงระเบียบราชทัณฑ์ใหม่ รื้อระบบพักโทษนอกเรือนจำ ยันไม่ใช่พรรคชอบแก้แค้น
ทันควัน! ทวีรีบโยนให้ไปถามดีเอสไอเรื่องพยานคดีฮั้ว สว.กลับคำให้การ
'ทวี' โยน DSI แจง พยานกลับคำให้การ คดีฮั้วสว. หลัง อ้างถูกข่มขู่ซัดทอดไปยัง 'ภท.'
เพื่อไทยตื่น! งัดอดีต รมว.กต.นั่งแถลงประณามกัมพูชา
'เพื่อไทย' แถลงประณามกัมพูชาละเมิดปฏิญญาสันติภาพ ลักลอบวางทุ่นระเบิดซ้ำที่ห้วยตามาเรีย ชี้รัฐบาลต้องยกระดับกดดันผ่านอาเซียน-ประชาคมโลก พร้อมเสนอใช้หุ่นยนต์เก็บกู้ทุ่นระเบิด และเร่งปราบสแกมเมอร์


