
แม้ว่าจะยังไม่เห็นข้อสรุปสุดท้าย ท้ายสุด สำหรับการเจรจาภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้ ‘ทีมไทยแลนด์’ ยังคงทำงานกันอย่างเข้มข้น เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศไทย ในขณะเดียวกันก็ยังได้เตรียมมาตรการเพื่อรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าสุดท้ายแล้วตัวเลขภาษีนำเข้าที่ไทยจะได้รับจากสหรัฐฯ จะเป็นเท่าไหร่ แต่เชื่ออย่างแน่นอนว่าจะมีผลกระทบกับหลายมิติทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างแน่นอน
เพราะอัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บกับไทยที่ 36% นั้น ถือว่าสูงอย่างน่าเป็นกังวล ซึ่งอาจจะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยได้ สุนันทา กังวานกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ระบุว่า ก่อนหน้านี้ได้มีโอกาสหารือกับผู้บริหารของ Vien Dong Supermarket ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำที่จำหน่ายสินค้าเอเชีย รวมถึงสินค้าไทย ในเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ เพื่อขยายโอกาสทางการค้า และผลักดันให้มีการนำเข้าสินค้าไทยไปจำหน่ายเพิ่มเติม และรับฟังข้อเสนอแนะจากภาคธุรกิจที่นำเข้าสินค้าไทย
โดยผู้บริหารของ Vien Dong ได้แสดงความกังวลต่อประเด็นอัตราภาษีนำเข้า 36% ที่จะมีผลบังคับใช้กับสินค้านำเข้าจากไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2568 หากไม่มีข้อยกเว้น หรือการเจรจาที่สำเร็จ “อาจกระทบต่อกรนำเข้าสินค้าไทยและทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ได้
ทั้งนี้ ทีมไทยแลนด์ ภายใต้การนำของ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง ไม่เพียงแต่เร่งทำงานในมิติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเจรจากับสหรัฐฯ ในประเด็นดังกล่าว แต่ยังได้มีการหารือถึงมาตรการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับแต่ละภาคอุตสาหกรรม ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้มอบการบ้านให้ภาคเอกชน ทั้ง 47 กลุ่มอุตสาหกรรมที่อาจจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ไปเร่งประเมินผลกระทบที่จะได้รับ เพราะแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมจะมีผลกระทบที่แตกต่างกันออกไป เพื่อที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้เตรียมมาตรการที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมไว้รอบรับ
“ระหว่างนี้กระทรวงการคลังได้เร่งเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเก็บข้อมูล ซึ่งแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมทยอยส่งการบ้านเข้ามาเรื่อย ๆ ก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องนำมาพิจารณากันต่อว่าแต่ละส่วนต้องการความช่วยเหลือในด้านใดบ้าง โดยหน้าที่ของเราตอนนี้คือต้องมาดูว่าจะแก้ไขอะไรได้บ้าง นอกเหนือจากเรื่อง tariffs” พิชัย กล่าว
อย่างไรก็ดี เบื้องต้น พิชัย ได้สั่งการให้สถาบันการเงินของรัฐ โดยเฉพาะ ธนาคารออมสิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือเอ็กซิมแบงก์ เตรียมวงเงิน ซอฟท์โลน 2 แสนล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีขนาดเล็ก ในอัตราดอกเบี้ย 0.01% เพื่อช่วยเหลือในเรื่องสภาพคล่อง การลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่าน หรือการบริหารจัดการสินค้าคงเหลือในช่วงสุญญากาศ
ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้เตรียมคลอดมาตรการชุดใหญ่ ภายใต้ชื่อว่า มาตรการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทย เพื่อรองรับโลกยุคใหม่ ที่ประกอบด้วย 5 มาตรการย่อย ได้แก่ 1. มาตรการส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย โดยกำหนดสิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับเอสเอ็มอีไทย ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ให้สามารถลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์เป็นพิเศษ จากเดิมยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ในวงเงิน 50% ของเงินลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพ ปรับเพิ่มขึ้นเป็นยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี ในวงเงิน 100% ของเงินลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพ
2. มาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศไทย (Local Content) สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า ผ่านการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อจูงใจให้บริษัทต่าง ๆ ใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ โดยกำหนดเงื่อนไขให้บริษัทจะต้องได้รับการรับรอง Made in Thailand (MiT) จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งต้องใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศตามสัดส่วนที่กำหนด โดยจะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เพิ่มเติมอีก 2 ปี จากเกณฑ์ปกติ
3. การเพิ่มความเข้มข้นในการพิจารณากระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญ สำหรับบางกิจการที่มีความเสี่ยงต่อการสวมสิทธิ และอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการการค้าของสหรัฐฯ โดยกำหนดเป็นเงื่อนไขชัดเจนว่า ต้องมีกระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญ มีการแปรสภาพวัตถุดิบหลักเป็นผลิตภัณฑ์อย่างเพียงพอ เช่น มีการเปลี่ยนพิกัดศุลกากรอย่างน้อยในระดับ 4 หลัก เพื่อให้การผลิตเพื่อส่งออกของไทยเป็นที่ยอมรับและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชัดเจนมากยิ่งขึ้น
4. การจัดระเบียบการลงทุนในบางสาขา เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ และรักษาสมดุลในการแข่งขันทางธุรกิจให้เหมาะสม และ 5. การปรับปรุงเงื่อนไขการจ้างงานบุคลากรต่างชาติ โดยกำหนดว่า หากเป็นกิจการผลิตที่มีการจ้างงานทั้งบริษัทตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป จะต้องมีการจ้างบุคลากรไทยไม่น้อยกว่า 70% นอกจากนี้ ยังได้กำหนดรายได้ขั้นต่ำของบุคลากรต่างชาติที่จะขอใช้สิทธิด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงานกับ BOI เพื่อให้สามารถคัดกรองบุคลากรต่างชาติที่มีทักษะสูงให้เข้ามาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เศรษฐกิจไทยได้ดียิ่งขึ้น
นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการ BOI ระบุอีกว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมเสนอมาตรการเพิ่มเติม เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ อีกทั้งทำให้ประเทศไทยยังคงสามารถแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ในการดึงดูดการลงทุน โดยจะเน้นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ และเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น กลุ่มอาหาร ผลิตภัณฑ์ยาง ชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น
ประเทศไทยจำเป็นต้องวางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจและการลงทุนให้เหมาะสม เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเดิม ควบคู่กับการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่จะเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะยาว BOI จึงได้ออกมาตรการใหม่หลายด้าน เพื่อมุ่งจัดระเบียบการลงทุน พร้อมกับหนุนให้ผู้ประกอบการไทยเร่งปรับตัว เพื่อคว้าโอกาสการเติบโตในโลกการค้ายุคใหม่
ขณะที่ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้มีข้อเสนอถึงรัฐบาลเพื่อเร่งดำเนินการในประเด็นสำคัญ เกี่ยวกับกรณีภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ประกอบด้วย 1. มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (CVD) และมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) รวมถึงให้เร่งนำกฎหมายตอบโต้การอุดหนุนมาใช้ 2. มาตรการช่วยเหลือทางการเงิน (ซอฟท์โลน) ซึ่งอยากให้ภาครัฐพิจารณามาตรการช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติม และ 3. มาตรการเยียวยาทางอ้อม โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “ค่าแรงขั้นต่ำ” เนื่องจากบางบริษัทอาจจะต้องมีการลดพนักงานเพื่อพยุงธุรกิจ โดยขอให้กระทรวงแรงงานชะลอการขึ้นค่าแรงออกไป เพราะการปรับขึ้นค่าแรงในตอนนี้อาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานได้
ส่วนในมุมของภาคการส่งออก ที่แน่นอนว่าจะได้รับผลกระทบโดยตรง ก็ต้องการมาตรการเยียวยาให้กับผู้ประกอบการด้วยเช่นกัน โดย ธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ระบุว่า ต้องการให้รัฐเข้ามาดูแลใน 3 ด้าน ได้แก่ 1. ค่าแรง โดยอยากให้รัฐบาลพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบอีกครั้ง เนื่องจากการปรับขึ้นค่าแรงอาจเป็นต้นทุนที่สำคัญในการแข่งขัน 2. นโยบายด้านการเงิน โดยต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาอัตราดอกเบี้ยให้เหมาะสม ดูความจำเป็นและสถานการณ์ปัจจุบันเป็นหลัก และ 3. การทำนิติกรรมอำพราง โดยเฉพาะผู้ประกอบการ นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาประกอบธุรกิจในไทย เรื่องนี้ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลอย่างจริงจัง และบังคับใช้กฎหมายให้มีความเข้มงวดมากขึ้น
อย่างไรก็ดี หลายฝ่ายยังมองเรื่องนี้เป็นบวกว่า ไทยยังมีโอกาสในการเจรจาต่อรองเพื่อปรับลดอัตราภาษีนำเข้าลงมาจาก 36% ได้ ภายใต้เงื่อนไขที่น่าจูงใจ ในขณะที่ทีมไทยแลนด์ก็ยืนยันพร้อมรับประกันว่า จะเดินหน้าเจรจาภายใต้ความสมดุล และถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ดังนั้นจึงยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามกันต่อเกี่ยวกับผลการเจรจากับสหรัฐฯ ในครั้งนี้!!


