
“สุริยะ” สั่ง ทอท. ศึกษาปรับขึ้นค่าธรรมเนียมผู้โดยสารขาออก “PSC”ขีดเส้นเสร็จ ก.ย.นี้ หวังดึงรายได้ลงทุนขยายสนามบิน ยันที่ผ่านมาไทยจัดเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราที่ต่ำ ราคาปัจจุบันไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง มั่นใจไม่กระทบการท่องเที่ยว
24 ก.ค. 2568 – นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม เปิดเผยถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเสนอแนวคิดการปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออก (Passenger Service Charges: PSC) ว่าขณะนี้ได้มอบหมาย ให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน)(ทอท.) ดำเนินการศึกษาเรื่องการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมการใช้สนามบินเช่น เปรียบเทียบอัตราค่าบริการของไทยกับท่าอากาศยานชั้นนำทั่วโลก อาทิ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และฮ่องกง ซึ่งหากพบว่าปัจจุบันไทยจัดเก็บค่าธรรมเนียม PSC ต่ำกว่าท่าอากาศยานหลายแห่งในโลกนั้น ก็น่าจะต้องปรับค่าธรรมเนียมนี้เพิ่มขึ้น เพื่อให้ ทอท.ได้นำรายได้ไปพัฒนาบริการในท่าอากาศยานเพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ทราบว่าปัจจุบัน ทอท.ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการศึกษาเปรียบเทียบและความเหมาะสมที่จะดำเนินการแล้ว น่าจะแล้วเสร็จภายใน 2 เดือน หรือภายในเดือน ก.ย.นี้ โดยจะปรับขึ้นในอัตรา 100 บาทหรือไม่นั้น คงต้องรอให้ ทอท.ศึกษาเปรียบเทียบความเหมาะสมก่อน ซึ่งต้องไปดูว่าประเทศอื่นจัดเก็บอย่างไร เพราะการจะปรับขึ้นค่าธรรมเนียมต่างๆ ต้องมีคำตอบในการปรับขึ้น และยืนยันด้วยว่าหากจะเก็บค่าธรรมเนียมนี้เพิ่มขึ้น ก็จะเกิดประโยชน์เอามาพัฒนาโครงการอื่นๆ ในท่าอากาศยาน อาทิ โครงการพัฒนาอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
“ผู้โดยสารขาออกส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ ซึ่งตอนนี้ก็พบว่าประเทศอื่นก็เก็บค่าธรรมเนียมนี้ในอัตราที่สูง เราก็ต้องไปเปรียบเทียบว่าเท่าไหร่ที่เหมาะสม และถ้าทำได้ก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะได้นำเงินมาพัฒนาสนามบิน ส่วนรายละเอียดเก็บจะเป็นยังไง ก็ต้องรอผลศึกษาก่อน”นายสุริยะ กล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงฯ ยืนยันว่าแนวทางการปรับขึ้นค่า PSC แม้จะเป็นการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับ ทอท. แต่ไม่ได้เกี่ยวกับการขาดสภาพคล่องของ ทอท. ในขณะนี้ ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับรายได้เชิงพาณิชย์ที่หายไป การพิจารณาเรื่องนี้เพียงต้องการให้ค่าธรรมเนียมสะท้อนต้นทุนจริง และอยู่ในอัตราใกล้เคียงกับท่าอากาศยานอื่นๆ ซึ่งก็สามารถจัดเก็บในราคาเหล่านี้ได้ และไม่กระทบต่อการเดินทางของผู้โดยสาร อีกทั้งขณะนี้ก็พบว่าไทยจัดเก็บค่าธรรมเนียม PSC ขาออกในอัตราที่ต่ำกว่าคนอื่น ดังนั้นก็น่าจะต้องปรับขึ้น เพื่อนำเงินไปพัฒนาบริการ และเชื่อว่าจะไม่เป็นปัจจัยกระทบการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยว ปัจจุบัน ทอท.รับผิดชอบสนามบิน 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่
ด้าน น.ส.ปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กล่าวว่า ปัจจุบัน ทอท.อยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาปรับขึ้นค่าธรรมเนียมบริการผู้โดยสาร PSC โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ และนำมาใช้ลงทุนยกระดับท่าอากาศยานในสังกัดให้เป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาคเอเชีย โดยการปรับขึ้นค่า PSC นั้น ทอท.จะต้องศึกษารายละเอียดในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งอำนวยความสะดวกภายในสนามบิน
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้น ทอท.คาดว่าจะศึกษาเสร็จภายใน ต.ค.นี้ ก่อนจะนำเสนอต่อสำนักงานการบินพลเรือน (กพท.) และคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) ต่อไป โดย ทอท.คาดว่าจะสามารถดำเนินการปรับค่า PSC ให้ได้ภายในปีนี้ เนื่องจากทุกวันที่ล่าช้าหมายถึงการสูญเสียรายได้ที่จำเป็นต่อการพัฒนาท่าอากาศยาน ขณะที่ปัจจุบัน ทอท. มีรายได้จากค่า PSC ประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ ปัจจุบัน ทอท.จัดเก็บค่า PSC แบ่งเป็น ผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศอยู่ที่ 730 บาท และผู้โดยสารขาออกในประเทศอยู่ที่ 130 บาท ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำเมื่อเทียบกับสนามบินชั้นนำอื่นๆ ทั่วโลก และที่ผ่านมาไม่ได้มีการปรับขึ้นมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งล่าสุดในปี 2567 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติให้ปรับขึ้น แต่อนุมัติให้ปรับในอัตรา 30 บาท ซึ่งยังต่ำกว่าท่าอากาศยานอื่นๆ จึงทำให้ ทอท.ต้องศึกษาแนวทางปรับขึ้น เพื่อหาจุดที่เหมาะสม และทำให้ ทอท. มีรายได้เพียงพอที่จะพัฒนาสนามบินให้เป็นฮับตามเป้าหมาย
น.ส.ปวีณา กล่าวว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ต้องพัฒนาเพื่อก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน คือ สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้โดยสาร โดยเฉพาะผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่อง (Transit) ซึ่ง ทอท.จำเป็นต้องมีการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะหนึ่งในปัญหาเร่งด่วน คือการไม่มีห้องสูบบุหรี่ภายในอาคารผู้โดยสาร ซึ่งสร้างความไม่สะดวกอย่างมาก และอาจเป็นสาเหตุให้ผู้โดยสารหลีกเลี่ยงการใช้บริการในอนาคต ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ทอท.กำลังเร่งดำเนินการจัดสร้างห้องสูบบุหรี่ โดยจะเปิดให้บริการที่อาคาร Satellite (SAT-1) 6 จุด และอาคารผู้โดยสารหลัก 3 จุด ซึ่งจะทยอยเปิดนำร่องจุดแรกในต้นเดือน ส.ค.นี้


