'ปลัดคลัง' หวังขัดแย้งไทย-กัมพูชาไม่ยืดเยื้อ เร่งอัดเยียวยามั่นใจเศรษฐกิจQ2ยังโตฉลุย

‘ปลัดคลัง’ แจงอยู่ระหว่างประเมินผลกระทบไทย-กัมพูชา หวังไม่ยืดเยื้อ เร่งอัดมาตรการเยียวยาต่อเนื่อง ‘บัญชีกลาง’ ปลดล็อกขยายเบิกจ่ายวงเงินทดรองราชการเพิ่มจังหวัดละ 100 ล้านบาท มั่นใจเจรจาภาษีสหรัฐฯ มองเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ยังฉลุย อานิสงส์ส่งออกหนุนต่อเนื่อง เผยถกภาษีสหรัฐฯ ได้ข้อสรุปไม่เกิน 1 ส.ค. ฟุ้งไทยยื่นข้อเสนอดีที่ดีที่สุด แต่ไม่เปิดภาษีนำเข้า 0% ให้ทั้งหมด

25 ก.ค. 2568 – นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) อยู่ระหว่างประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่จะมีต่อเศรษฐกิจไทย แต่ส่วนตัวเชื่อว่าไม่น่าจะมีผลกระทบมากนัก และหวังว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่ยืดเยื้อยาวนาน โดยจะต้องรอผลการหารือของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (UNSC) ที่ได้เตรียมจัดประชุมฉุกเฉินในประเด็นดังกล่าว ซึ่งคาดว่าหากทุกฝ่ายถอยออกมา สถานการณ์จะคลี่คลายดีขึ้น และจะช่วยลดการสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับทั้ง 2 ฝ่าย

สำหรับแนวทางในการให้ความช่วยเหลือ เยียวยาและบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งในครั้งนี้นั้น กระทรวงการคลังได้สั่งการไปยังหน่วยงานทั้งหมดให้เริ่งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐก็ได้เร่งออกมาตรการในการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ก่อนหน้านี้ทราบว่ากรมบัญชีกลางได้มีการอนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ความขัดแย้งเพิ่มเติมจังหวัดละ 100 ล้านบาทตามขอของกระทรวงมหาดไทยเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมองว่าเรื่องนี้เป็นการให้ความช่วยเหลือที่เร็วและตอบโจทย์มากที่สุดในสถานการณ์ขณะนี้

“การเยียวยา และให้ความช่วยเหลือก็ต้องเร่งดำเนินการไปตามความเหมาะสม ต้องดูว่าความเสียหายอยู่ตรงไหน และกระทรวงการคลังและหน่วยงานในสังกัดช่วยอะไรได้บ้าง แล้วหลังจากนั้นจึงค่อยมาประเมินผลกระทบกับเศรษฐกิจว่าเป็นอย่างไร จบช้า หรือจบเร็ว มีผลกระทบเท่าไหร่” ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุ

ทั้งนี้ มองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/2568 จะยังขยายตัวได้ดี โดยยังได้รับแรงส่งจากไตรมาส 1/2568 ที่ตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) ขยายตัวได้ถึง 3.1% อีกทั้งยังมีผลดีจากแนวโน้มการส่งออกที่เติบโตได้ดี จากการเร่งส่งออก ส่วนทิศทางเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/2568 อาจจะมีความเสี่ยงจากปัจจัยลยเรื่องชายแดนบ้าง แต่เชื่อว่าสถานการณ์ตามแนวชายแดนน่าจะไม่นาน

นายลวรณ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าในการเจรจาภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ ว่า มั่นใจว่าไทยจะได้ข้อสรุปก่อนวันที่ 1 ส.ค. 2568 แน่นอน โดยขณะนี้ไทยได้มีการยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมไปแล้ว และเชื่อว่าข้อเสนอที่ไทยยืนไปทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ไทยจะให้ได้ แต่ยืนยันว่าไทยไม่ได้ยื่นขอเสนอในการเปิดตลาดนำเข้า 0% ให้กับสหรัฐฯ ทั้งหมด

“คงต้องรอดู ตอนนี้คงไปตอบอะไรแทนสหรัฐฯ ไม่ได้ เขาก็ดูข้อเสนอของเราอยู่ ซึ่งเดตไลน์คือวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งไทยไม่ได้เปิดตลาดให้เขาทั้งหมด มีหลายตัวที่เราสงวนเอาไว้ ส่วนระหว่างนี้ก็เป็นการเจรจา มีการยื่นข้อเสนอกันไปมา ทางสหรัฐฯ ก็มีข้อเสนอเพิ่มเติม เราก็มาพิจารณาอะไรให้ได้ ให้ไม่ได้ก็ว่ากันไป เพราะมันเป็นการเจรจาต่อรอง ไม่ใช่ว่าเราส่งการบ้านแล้วจะจบเลย ก็ต้องมารอฟังเขาตอบกลับมาว่าเขาอยากได้อะไรเพิ่ม หรืออยากให้เพิ่มอะไร ส่วนฟีดแบ็คที่สหรัฐฯ ตอบกลับมาก็ค่อนข้างดี” นายลวรณ กล่าว

อย่างไรก็ดี ส่วนตัวมองว่าแม้สหรัฐฯ จะประกาศผลในวันที่ 1 ส.ค. ออกมาแล้ว ก็เชื่อว่าการเจรจายังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เพื่อให้ได้อัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำลงไปอีก เพราะตรงนี้เป็นแค่รอบแรกของการเจรจาทางการค้าที่ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น ขณะเดียวกันไม่อยากให้ไปเปรียบเทียบกับฟิลิปปินส์ที่ได้อัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่ 19% พร้อมทั้งเปิดตลาดให้ทั้งหมด เพราะตรงนี้ขึ้นอยู่กับว่าสหรัฐฯ มองว่าตลาด และความอ่อนไหวของสินค้าของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่อยากให้เอาเงื่อนไขตรงนั้นมาเป็นตัววัดเพื่อเปรียบเทียบว่าทุกประเทศจะต้องเปิดตลาด 0% ทั้งหมด คงเป็นไปไม่ได้ เพราะแต่ละประเทศ เช่น ไทย ก็ต้องมาดูในสิ่งที่จะสามารถให้ได้ ส่วนเรื่องไหนให้ไม่ได้จริง ๆ ก็คือให้ไม่ได้

ส่วนถามว่าหากประเทศคู่ค้าอื่นของไทยเรียกร้องเงื่อนไขทางการค้าเดียวกับที่ให้สหรัฐฯ ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุว่า ก็ต้องมาคุยกันว่าจะแลกอะไรกับอะไรได้บ้าง เพราะเป็นเรื่องของการเจรจาทางการค้า ดังนั้นก็ต้องมาคุยกัน

เพิ่มเพื่อน