'ผู้ว่าแบงก์ชาติ' รับเศรษฐกิจไทยโตแผ่ว ห่วงฐานะการคลังฝากรัฐบาลใหม่ดูแล

‘ผู้ว่าแบงก์ชาติ’ รับเศรษฐกิจไทยโตแผ่วเหมือนคนไข้เรื้อรัง ห่วงฐานะการคลังไม่แข็งแรงเหมือนก่อน หลังรายได้โตไม่ทันรายจ่าย ชี้เป็นการบ้านรัฐบาล 4 เดือนต้องเข้ามาดูแลเสถียรภาพการคลัง แนะปูพรมมาตรการระยะยาว คู่ขนานมาตรการระยะสั้น รับถกเก็บภาษีซื้่อ-ขายทองแก้ปมบาทแข็งยังไม่มีข้อสรุป

16 ก.ย. 2568 – นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ยอมรับว่าปัจจุบันเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงเติบโตแผ่ว เหมือนคนไข้เรื้อรัง หรือคนเป็นโรคเบาหวาน สะท้อนจากความสามารถในการแข่งขันที่ชะลอตัวลง ความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่น้อยกว่าเพื่อนบ้าน การดูแลเรื่องการกระจายรายได้ และปัญหาความเหลื่อมล้ำสูง ที่ยังเป็นโจทย์สำคัญต้องเร่งแก้ไข

โดยในปี 2568 ธปท. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.3% ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกคาดว่าจะขยายตัวได้ 3% และครึ่งปีหลังน่าจะอยู่ที่ราว 1% ซึ่งสอดคล้องกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ขณะที่สำนักเศรษฐกิจอื่น ๆ ก็เริ่มทยอยปรับคาดการณ์ขึ้นมาที่ราว 2% แล้ว สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้ไม่ได้ชะลอตัวมากนัก แต่ในปี 2569 ยอมรับว่ามีความเสี่ยงขาลงกับเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องงบประมาณที่อาจจะล่าช้า หากรัฐบาล 4 เดือนยุบสภาและต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งจะเข้าใกล้ช่วงที่ต้องจัดทำงบประมาณ ตรงนี้หากสะดุดก็จะทำให้การจัดทำงบประมาณปี 2570 ล่าช้าออกไป ทำให้ ธปท. มองว่าปี 2569 เศรษฐกิจจะขยายตัวลดลงที่ 1.7%

ทั้งนี้ สิ่งที่น่ากังวล คือ ความเสี่ยงด้านการคลัง โดยหากมองไปในระยะข้างหน้ายังเป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง เพราะภาคการคลังในปัจจุบันไม่ได้แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน หลังจากช่วงโควิด-19 มีการใช้ทรัพยากรเยอะในการพยุงเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่อยากเห็นหลังจากใช้กระสุนทางการคลังไปเยอะ ก็ควรจะต้องเริ่มรัดเข็มขัดให้ฐานะทางการคลังกลับมาในรูปแบบที่สร้างเสถียรภาพในระยะปานกลางสูงขึ้น เพราะหากไม่มีการปรับในส่วนนี้ก็มีความเสี่ยงที่ไทยจะถูกลดเครดิตได้

“หากดูค่าเฉลี่ยรายจ่ายรัฐบาลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โต 4% ขณะที่รายได้โตเฉลี่ย 1.7% ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามเทรนด์นี้ สิ่งที่จะเกิดคือ ขาดดุลและหนี้สูงขึ้น ตอนนี้ตามกรอบความยั่งยืนทางการคลังสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีเพิ่มขึ้น ไม่ได้ลดลง เสี่ยงต่อการถูกลดเครดิตประเทศ หากปล่อยไปตามยถากรรม ดังนั้นปัญหาเรื่องความยั่งยืนทางการคลังจึงเป็นประเด็นที่น่ากังวล ของพวกนี้ไม่ได้ปรับได้ในวันนี้หรือพรุ่งนี้ แต่ต้องเห็นภาพที่ชัดเจนว่ามีการปรับตัวเพื่อเปลี่ยนผ่าน ต้องมีแผนการเติบโตของรายได้และการควบคุมรายจ่ายเป็นอย่างไร แต่ขอย้ำว่าไม่ใช่ว่าตอนนี้ไทยเกิดวิกฤติทางการคลัง ยืนยันว่าไม่ใช่ แต่ก็อยู่ในจุดที่ไม่ควรชะล่าใจ ควรีแผนรองรับระยะยาว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในฝั่งการคลัง” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว

ทั้งนี้ มองว่าตรงนี้ถือเป็นการบ้านของรัฐบาลใหม่ที่จะต้องเข้ามาดูแลเรื่องเสถียรภาพทางการคลัง เพราะแรงโน้มถ่วงจะนำไปสู่การใช้งบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เถียงว่ามีความจำเป็น แต่ต้องเป็นการใช้งบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างระมัดระวัง เพราะลูกกระสุนฝั่งการคลังมีจำกัดแล้ว หากใช้มากไปและไม่มีแผนระยะยาว ประเทศจะเสี่ยงถูกดาวน์เกรดได้

นอกจากนี้ ข้อจำกัดทางการคลัง อาจเป็นปัจจัยให้รัฐบาลที่ระบุว่าจะอยู่ 4 เดือนเร่งใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่หนักกว่าเดิม แม้จะเข้าใจว่ายังเป็นเรื่องที่ต้องทำ แต่อยากมองว่าถ้าอยากให้คนเลือกรัฐบาลชุดนี้กลับมาอีก ก็จำเป็นต้องทำมาตรการระยะยาวด้วย ตรงนี้ถือเป็นสิ่งที่ดีและจำเป็น เพราะมาตรการระยะสั้น เช่น คนละครึ่ง มีความเสี่ยงที่คนจะติด ดังนั้นจึงอยากให้พิจารณามาตรการที่สอดคล้องกับกรอบความยั่งยืนทางการคลังระยะปานกลาง หากทำเยอะก็ต้องมีแผนจะทำให้รายได้ปรับขึ้นมาด้วย เช่น การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แต่ยอมรับว่าตรงนี้เป็นเรื่องยาก

ขณะที่ในฝั่งนโยบายการเงินนั้น มองว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับขึ้นหรือลง ในระดับ 0.25% ไม่ได้ม่ีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจขนาดนั้น แต่ผลในระยะยาวคือเรื่องเชิงโครงสร้างมากกว่า ขณะเดียวกันก็ต้องเดินหน้าในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนต่อไป ตรงนี้ยืนยันว่ามีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องเป็นห่วง แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างนั้นคนไม่ค่อยใส่ใจ แม้ว่าจะเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นหากเรื่องนี้ได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดก็เชื่อว่าจะช่วยให้ขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แผ่วตัวลงไม่เกิดขึ้น หรือปรับตัวดีขึ้นได้

สำหรับสถานการณ์การแข็งค่าของเงินบาทนั้น นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า หลัก ๆ เป็นผลมาจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง และอีกสิ่งที่ไทยเจอซ้ำเติม คือ เรื่องทองคำ ที่ทำให้เงินบาทแข็งค่ามากกว่าเพื่อนบ้าน เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินบาทและทองคำมีอัตราที่ค่อนข้างสูงถึง 0.7% มาจากการที่คนไทยชอบซื้อขายทอง ซึ่งในส่วนนี้ ธปท. ไม่ได้นิ่งนอนใจ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และที่ผ่านมาได้มีการเข้าไปดูแลเพื่อลดความผันผวนของค่าเงิน

“สิ่งที่เราเป็นห่วงและไม่อยากให้เกิดคือ ค่าเงินเคลื่อนไหวเร็วและแรงเกินไป จึงมีการดูแลเพื่อลดความผันผวนของค่าเงิน เพราะเราเป็นประเทศที่มีการส่งออกเยอะ เรื่องเหล่านี้มีเครื่องมือหลักที่ทำอยู่ ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ก็ได้หารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ และคนที่อยู่ในแวดวงทองคำ ว่ามีวิธีอะไรที่จะลดผลกระทบจากการซื้อขายทองต่อค่าเงิน ซึ่งยอมรับว่าหนึ่งในมาตรการที่หารือกัน คือ ภาษี ที่ย้ำว่ายังอยู่ในขั้นตอนการหารือและคงต้องใช้เวลา แต่ก็มีช่องทางอื่น ๆ ด้วย เช่น อยากสนั้บสนุนให้มีการซื้อขายทองในรูปแบบดอลลาร์มากกว่าเงินบาท เพื่อลดผลกระทบที่จะมีต่อค่าเงิน ขอย้ำว่าการจะทำอะไรต้องหารือกับหลายส่วน และต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมที่สุด” ผู้ว่าการ ธปท. ระบุ

ส่วนที่มีข้อห่วงใยจากภาคเอกชนต่อกรณีมีการส่งออกทองคำไปต่างประเทศจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งมีผลให้เงินบาทแข็งค่า จะมีความเชื่อมโยงกับธุรกิจสีเทาหรือไม่นั้น นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ข้อมูลก็เป็นไปตามที่กรมศุลกากรชี้แจง ส่วนการส่งออกทองคำดังกล่าวจะมีความเชื่อมโยงกับธุรกิจสีเทาหรือไม่นั้น คงไม่สามารถตอบได้ แต่เราก็แสดงความเป็นห่วง และได้ประสานงานไปกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เพื่อให้ช่วยดูที่มาว่ามีความเชื่อมโยงกับสิ่งที่ภาคเอกชนแสดงความเป็นห่วงหรือไม่

อย่างไรก็ดี ในส่วนกรณีที่เกิดกระแสการถอนเงินออกจากสถาบันการเงิน จากมาตรการการระงับธุรกรรมและอายัดบัญชีที่เข้าข่ายเกี่ยวโยงกับเส้นทางเงินของบัญชีม้านั้น ขอย้ำว่า ภาพรวมสภาพคล่องธนาคารยังปกติ ธนาคารเตรียมเงินสดเพียงพอตามสาขา และเป็นเรื่องเฉพาะจุดมาก ๆ ส่วนในเรื่องของความมั่นใจและความเชื่อมั่นนั้นที่เกิดจากมาตรการดังกล่าวนั้น ต้องขออภัยที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้สุจริตที่ได้รับผลกระทบ แต่ถ้าเทียบกับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการที่ถูกมิจฉาชีพหลอกจนเงินหายหมด ตรงนี้ถือเป็นการช่วยลดโอกาสของมิจฉาชีพลงได้

“เรื่องมิจฉาชีพเป็นอะไรที่ร้ายแรงมาก เป็นเหมือนมะเร็ง ถ้าเราปล่อยให้ลุกลาม ดังนั้นการจัดการกับมันก็เหมือนกับการฉายแสง ซึ่งหนีไม่พ้นว่าจะต้องโดนคนที่สุจริตไปด้วย แต่ถ้าปล่อยไปไม่ดีแน่ ตรงนี้ถือเป็นความจำเป็นสำหรับรักษาอาการโดยรวม และหากไม่ทำผลกระทบจะมีเป็นวงกว้างมากกว่าและระยะยาว ซึ่งที่ผ่านมาสามารถปิดบัญชีม้าได้ 2.8 ล้านบัญชี” นายเศรษฐพุฒิ ระบุ

เพิ่มเพื่อน