
ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์แตก ไม่ใช่เพราะ พรรคเสื่อม แต่เป็นเพราะ แนวทางการต่อต้าน “ประชาธิปไตยโกงชาติ” เห็นต่างกัน แต่เมื่อปัญหาสุดขั้วนั้น ผ่านพ้นไป ภัยต่อประเทศ ภัยต่อประชาธิปไตยใสสะอาดหายไป ได้เวลามารวมกันใหม่
ประชาธิปัตย์ + รวมไทยสร้างชาติ + กล้า + ไทยภักดี = ชัยชนะของชาวประชาธิปัตย์ = ชัยชนะของชาวไทย
วิกฤตระบอบทักษิณจบแล้ว ระบอบทักษิณ เป็นปรากฏการณ์ประหลาด ทำลายชาติอย่างรุนแรง ทำให้การต่อสู้ทางการเมือง มีความแตกต่างหลากหลาย จนพรรคประชาธิปัตย์แตกเป็นเสี่ยงๆ แต่หากดูที่จิตใจ ทุกกลุ่มที่แตกมี รักชาติ รักความชอบธรรม แต่ต่างกันที่ว่า “ต้องต่อต้านระบอบทักษิณจนสุดทาง” กับ “ต้องต่อต้านทักษิณ แต่รักษาประชาธิปไตย” ด้วย
เพราะ ในประวัติศาสตร์ไทย เพิ่งเคยเห็นระบบทักษิณ ที่โกงกินชาติ ไม่ยั้ง จนชาติล่มสลาย
…สมัย 2540 ทักษิณหนุนหลังรัฐบาลบิ๊กจิ๋ว ในที่สุด ได้เข้าร่วมเป็นรองนายกฯ พาชาติใกล้ล้มละลาย ต้องเริ่มทำ LOI เพื่อกู้เงิน IMF แต่หลังจากประชาธิปัตย์ได้กลับมากอบกู้เศรษฐกิจ ทักษิณ ก็เอาเงินจากกองทุนวินมาร์ค เกาะฟอกเงิน มาซื้อเสียง ดูด สส. จนเป็นพรรคอันดับหนึ่งอย่างรวดเร็ว และ บนฐานการแก้ปัญหาเศรษฐกิจดีแล้ว ทักษิณอ้างว่าเป็นผู้คืนเงินกู้ IMF ?!?!
… ลอยค่าเงินบาท คนไทยล้มละลายทั่วไทย โดย นาย เสนาะ เทียนทอง เปิดโปงว่า “รวยแล้วโกงชาติ…เผาบ้านเผาเมืองเอาประกัน” ส่ง นายทนง พิทยะ มาเป็นรัฐมนตรีคลัง ลอยตัวค่าเงินบาท คนไทยเสียหายทั่วแผ่นดิน แต่ทักษิณรวยคนเดียว เก็บเงินในกองทุนวินมาร์ค และโอนกลับไทย 3 ปีต่อมา ซื้อเสียง ดูด สส. สร้างพรรคไทยรักไทยจนเป็นพรรคใหญ่ที่สุดในคราวเดียว
…เมื่อเป็นนายกฯ อ้างกับตุลาการรัฐธรรมนูญว่า หุ้นที่ซุกกับคนรถ คนใช้ ดวงตา วงศ์ภักดี, บุญชู เหรียญประดับ, ชัยรัตน์ เชียงพฤกษ์ ฯลฯ อ้างว่า “บกพร่องโดยสุจริต” แต่แล้วก็ทำ “หนี้ปลอม” 3,000 ล้านบาท ระหว่างพ่อแม่ลูก เป็นทางผ่านปันผลหุ้นชินฯ เป็นหลักฐาน “ซุกหุ้น” รอบ 2 ทันที หนีกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ เป็นนายกฯรัฐมนตรี มีความผิดฐานใช้อำนาจเอื้อธุรกิจ ทั้งคดีให้เอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้รัฐบาลพม่าดอกเบี้ยต่ำ ลดค่าสัมปทาน แปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อกลุ่มชินฯทั้งสิ้น จนถูกยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท และต้องกลับมาติดคุกในที่สุด
…ส่งน้องยิ่งลักษณ์มาเป็นนายกฯ ออกนโยบาย “จำนำข้าว” เป็นการรับซื้อข้าวสูงกว่าราคาตลาดโลก ข้าวไทยคุณภาพเสื่อม เสียแชมป์โลกส่งออกข้าวตั้งแต่นั้นมา ข้าวรับจำนำสูงกว่าระบายออกตลอดทุกปี จนมีไทยภาระหนี้ 5 แสนล้านบาท !!
…แล้วใช้อำนาจเผด็จการรัฐสภาหวังออก พรบ.นิรโทษกรรม เพื่อคืนเงินโกงชาติพี่ชาย 4.6 หมื่นล้านบาท + ดอกเบี้ย !!
เสียงนกหวีด จนดังขึ้น กึกก้องทั้งแผ่นดิน… ส่วนหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ที่รู้สึกว่า การต่อสู้ในระบอบรัฐสภาที่เคยเป็นศรัทธาของพรรคประชาธิปัตย์มาตลอดใช้ไม่ได้กับ “ระบอบทักษิณ” และ ไทยอาจล้มละลายอีกครั้งก็ได้ จึงนำประชาชนต่อสู้อำนาจเผด็จการรัฐสภา ของนักการเมืองโกงชาติ โดยตั้งเป็นกลุ่ม กปปส.
และ ความโกลาหนเกิดขึ้นไปทั่วไทย อำนาจอธิปไตยกำลังถูกกดใต้ระบอบทักษิณ หวังใช้อำนาจรัฐสภาจากการเลือกตั้ง ล่วงล้ำอำนาจตุลาการ หวังนิรโทษกรรมทักษิณ เพื่อคืนเงินโกงชาติพี่ชายกลับไป จึงทำให้เกิดการรัฐประหาร พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ยึดอำนาจรัฐชั่วคราว แต่ก็บริหารประเทศได้ดี มีการพัฒนาถนน ทางหลวงต่างๆ รถไฟฟ้า มากมายได้จริง ท่องเที่ยวไทยทำลายสถิติ ถึง 40 ล้านคน เป็นอันดับ 8 ของโลก
ต่อมา ก็จัดการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยจริงตามที่เคยประกาศไว้ แต่ด้วยเงื่อนไขให้มี สมาชิกวุฒิสภาน้ำดี แต่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง มามีส่วนเลือกนายกรัฐมนตรี ตามบทเฉพาะกาล
ทำให้เกิดกระแส “ฝ่ายประชาธิปไตย” ที่ได้เสียงง่ายๆ โดยพรรคเพื่อไทย และ พรรคอนาคตใหม่ ด้วยเนื้อหาทำนองเดียวกันว่า รักประชาธิปไตย ต้องไม่เอาลุงตู่ ไม่เอา 3 ป. ทำให้ประชาชนมองข้ามเรื่องความสามารถในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของไทยแต่อย่างใด
พรรคประชาธิปัตย์ยุคนั้น นำโดยอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นอกจากการยืนหยัดต้านโกง ระบอบทักษิณเป็นที่ประจักษ์ในสภาฯแล้ว ก็ยังต้องการปกป้องอุดมการ์ประชาธิปไตยด้วย จึงประกาศนโยบาย “ไม่สืบทอดอำนาจรัฐประหาร” ตามอุดมการณ์ที่ต่อสู้อำนาจทหารตั้งแต่ยุคมืดประชาธิปไตยไทยมาหลายสิบปี …แต่นั่น ทำให้คนไทย หัวใจ กปปส. หลายคนอกหัก และ โกรธประชาธิปัตย์และ อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ … แต่เมื่อหันมาดูจิตใจ และ เจตนาดีแล้ว ก็พอเข้าใจและยอมรับได้
บัดนี้ อำนาจตุลาการศักดิ์สิทธิ์เพียงพอ ทักษิณกลับเข้าคุก อุ๊งอิ๊งหลานอังเคิลฮุนเซนต้องออกไป ความแตกต่างในความคิดการต่อสู้ระบอบทักษิณ ก็น่าจะไม่มี อุดมการณ์ประชาธิปัตย์น่าจะคืนกลับมาอย่างมีเอกภาพเสียที
วิกฤตสุด 2 ขั้ว ทักษิณโกงชาติ กับ ลุงตู่สืบทอดอำนาจผ่านไปแล้ว ในเลือกตั้งปี 2562 ด้วยกระแสที่เร้ากัน 2 ขั้ว
… ถ้ากลัวระบอบทักษิณกลับมาครองชาติ ต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งลุงตู่นำ จึงจะสู้ได้จริง
… ถ้าไม่ต้องการสืบทอดอำนาจรัฐประหาร ต้องเลือกพรรค (ที่อ้างว่า) ฝ่ายประชาธิปไตย
… ประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของอดีตนายกฯอภิสิทธิ์ ซึ่งยึดหลัก “ประชาธิปไตย…ใสสะอาด” ทั้งต้านโกง ทั้งไม่สืบทอดอำนาจรัฐประหาร แทบไม่มีที่ยืนในเกมส์การหาเสียง แม้อุดมการณ์จะครบถ้วนที่สุด บุคลากรพร้อมที่สุด ผู้นำสามารถสูงสุด แต่สังคมแบ่งสุดขั้ว จนพรรคที่มีจุดยืนไม่สุดขั้วได้คะแนนน้อยลงอย่างมาก
แต่บัดนี้ เกมส์นี้ก็จบแล้ว ทักษิณก็กลับคืนคุกรับโทษแล้ว และ อดีตนายกลุงตู่ ก็ได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นถึงองคมนตรีสมกับผลงานพาประเทศผ่านวิกฤตแล้ว เสียงประชาชนที่เคยละจากประชาธิปัตย์ไป และ เคยไม่พอใจอภิสิทธิ์ชั่วคราวก็น่าจะกลับมาพิจารณาเอาประชาธิปัตย์กลับมาในหัวใจได้อีกครั้ง
วิกฤต “พรรคเถ้าแก่” นักธุรกิจการเมือง บริหารพาชาติดำดิ่ง เป็นที่ประจักษ์แล้ว พรรคธุรกิจการเมือง อ้างเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” แต่กลับเอาประชาธิปไตยไปทำธุรกิจ อย่างระบอบทักษิณ เป็นที่ประจักษ์ใจคนไทยแล้ว โกงชาติมาตั้งแต่พ่อ ยันลูก ถึงขั้นขายชาติ ขายแผ่นดิน พ่อเริ่มมาตั้งแต่ MOU 2544 ตั้งแต่ปีแรกๆในตำแหน่งนายกฯของทักษิณ แบ่งทรัพยากรในทะเลกับกัมพูชา ซึ่งอ้างเขตแดนอย่างไม่เป็นสากล และ เมื่ออุ๊งอิ๊งคุยกับอังเคิลฮุนเซน เปิดโปงตัวเองว่า มี “พวกแม่ทัพภาค 2 เป็นฝั่งตรงข้ามหมดเลย” ถามอังเคิลว่า “ต้องการอะไร ขอให้บอก” จนต้องรับโทษพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเถ้าแก่ทักษิณ ก็ยังได้ไปแสดงวิสัยทัศน์ว่า รัฐบาลควรรีบเอาทรัพยากรทางทะเลในพื้นที่ทับซ้อน (ตามความเห็นของทักษิณ และ ฮุนเซน !) มาแบ่ง 50/50 ส่วนพื้นที่ที่ไม่ได้ปักเขตแดน ก็ตั้งเป็น No Man Land ถอยมาข้างละ 200 เมตร ทั้งที่พื้นที่แนวเทือกเขาพนมดงรัก ยึดหลักแนวสันปันน้ำได้ชัดเจน ไทยก็ไม่ต้องถอยร่นมาแต่อย่างใด คำกล่าวว่า “ชินวัตรขายชาติ” จึงเป็นที่ประจักษ์ทั่วไป
ในด้านการบริหารบ้านเมือง บอกว่าเศรษฐกิจคนไทยไม่ดี เพราะ มีรัฐบาลจากรัฐประหาร แต่เมื่อบริหารจริง
… ปฏิเสธระบบ “เป๋าตัง” ซึ่งใช้กันแพร่หลาย คนไทยคุ้นเคย ใช้กันแล้วกว่า 40 ล้านคน แล้วไปพัฒนาระบบ “ดิจิตอลวอลเลต” เองอย่างฉ้อฉล ผลาญเงินไปมากมายแต่ระบบก็ใช้ไม่ได้
… ปฏิเสธการใช้ “เป๋าตัง” สำหรับโครงการอย่างไทยเที่ยวไทย แต่ไปพัฒนาระบบ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ซึ่งใช้ยาก ผู้ประกอบการเข้าร่วมจำกัด สูญเสียเงินงบประมาณไปมากมาย แต่ไม่ได้ระบบที่ดีขึ้นเลย
…เหมือนกับที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยปฏิเสธระบบ “ประกันรายได้” สมัยอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ ทั้งที่ระบบนั้น ไม่บิดเบือนกลไกตลาด เกษตรกรไม่ต้องกลัวปัญหาภัยธรรมชาติ ได้รับส่วนต่างประกันรายได้ เสริมกับรายได้ตามกลไกตลาดเป็นที่พึงพอใจ แต่พรรคชินวัตร กลับใช้นโยบาย “จำนำข้าว” เมื่อมีอุทกภัย ก็ไม่ยอมระบายน้ำเหนือเขื่อน ให้เกษตรกรท้ายเขื่อนได้เก็บเกี่ยวก่อน มิเช่นนั้น จะไม่มีรายได้ เสียเปรียบนโยบายประกันรายได้ จนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมสะดุด สะสมเป็นมวลน้ำมหาศาลจนเกิดน้ำท่วมใหญ่ 2554 ในเวลาต่อมา
… รัฐบาลชินวัตร ร่าเริงกับการหาเสียงแค่ “ต้องเลือกฝ่ายประชาธิปไตย” แต่เนื้อในกลวงมาก แม้เป็นพรรคที่บุคลากรพร้อมกว่าพรรคประชาชนด้วยซ้ำ แต่ก็ยังแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยไม่ได้จริง แม้เรื่องท่องเที่ยว จะผ่านวิกฤตโควิดมาแล้วถึง 2-3 ปี แต่ยอดท่องเที่ยวไทย ก็ยังอาจไม่ถึง 35 ล้านคนในปีนี้ ยังห่างไกลสมัยลุงตู่อีกมาก
วิกฤต “พรรคส้ม” ข่มทหาร ด้อยค่าศาล ได้ทำให้คนไทย “ตาสว่าง” แล้ว พรรคส้มยังมุ่งข่มทหาร ทั้งที่ทหารไทยกล้าหาญ สามารถ เสียสละเป็นที่ประจักษ์
… พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หาเสียงตั้งคำถามว่า “ทหาร…มีไว้ทำไม ?” “เดี๋ยวนี้เขาเลิกรบกันแล้ว…ไม่ต้องมีกองทัพก็ได้” “พวกคุณจะไปรบกับใคร สมมุติมีคนมารุกราน…ผมก็ไม่เชื่อว่า คุณจะรบชนะด้วย” แต่เห็นแล้วว่า ประเทศเพื่อนบ้าน ก็เปลี่ยนมาเป็นผู้รุกรานไทยได้ เมื่อปะทะกัน ฝั่งเขมรยิงจรวดอย่างไร้กติกา เข้าสู่เป้าหมายพลเรือน จนไทยต้องสูญเสีย ทั้งชีวิตและทรัพย์สินมากมาย ชาวไทยต้องเสียขวัญ ย้ายจากที่อยู่ไปรวมกันเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวหลายแสนคน ทหารไทยก็ปกป้องชาติอย่างเข้มแข็ง กล้าหาญ เสียเสละ จนทหารไทยต้องพลีชีพในช่วงการปะทะ ถึง 15 คน กองทัพไทยทำงานร่วมกันทั้ง 3 เหล่าทัพ แสนยานุภาพแข็งแกร่ง เอฟ-16 กริฟฟิน ทำลายเป้าหมายทางทหารอย่างตรงเป้า ได้ชัยชนะโดยเร็ว หากพรรคส้มบริหารบ้านเมือง ลดงบทหาร เอางบรถถังไปเป็นรถไถ หรือ ผ้าอนามัย หากไม่แสดงแสนยานุภาพชัดเจน อาจจะทำให้การรบยืดเยื้อ เราอาจจะต้องสูญเสียไปอีกเท่าไร ? นานเพียงใด ? ทำให้คนไทยตาสว่างว่า “ทหารมีไว้ทำไม ?”
… แต่พรรคส้ม ก็ยัง “ข่มทหาร” ไม่หยุด ช่อ พรรณิการ์ อกกทีวีอย่าง “ผู้เชี่ยวชาญการเซาะกร่อน” บอกว่า “มีคนบางคนไม่อยากให้สงคราม…” เว้นสักพัก แล้วบอกว่า “เพราะ เวลามีสงคราม บางคนได้เป็นฮีไร่…ใช่ไหม นี่คือคำถาม” เป็นการเปิดเผยความเจ้าเล่ห์ เซาะกร่อน ที่สร้างรอยขีดข่วนหัวใจคนไทยว่า ทหารเขาเสียสละขนาดนี้ พรรคส้มยังมุ่งดิสเครดิตทหารไทยไม่หยุด
… และ พรรคส้มยังได้ “ด้อยค่าศาล” เมื่อคลิปเสียงถูกฮุนเซนปล่อยมา ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องพร้อมมีคำสั่งให้ระงับการปฏิบัติหน้าที่ คนไทยที่เริ่มรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และ ทั่วไปทั้งแผ่นดิน ก็ยินดีที่ศาลฯไทย ดำรงความยุติธรรม แต่พรรคส้ม กับใช้คำว่า “นิติสงคราม” หรือ เมื่อคำพิพากษาออกมาแล้ว ให้แพทองธารต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี พรรคส้มยังจะบอกอีกว่า “รัฐธรรมนูญเปิดโอกาสให้เกิดการดุลยพินิจตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ” แต่ก็บอกไม่ได้ว่า ตัดสินบกพร่องอย่างไรเลย ?
… จนบัดนี้ พรรคส้ม ควรได้มีส่วนบริหารงาน แต่ยังเพ้อเจ้อว่า ต้องมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ของประชาชนทั้งฉบับก่อนเท่านั้น ก็ทำให้ประชาชนเริ่มไม่ไว้ใจพรรคประชาชน หรือเป็นเพราะ ไม่มีคนเก่ง ไม่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ใช้ได้จริง จึงกลัวที่จะแสดงฝีมือ และ โทษว่า การบริหารบ้านเมืองยาก เพราะ รัฐธรรมนูญ
ทั้งที่ประชาชนก็เห็นแล้วว่า ปรากฏการณ์รัฐบาลชินวัตร โกงแล้วยังดื้อ ไม่สนใจว่า แม้เรื่องโกงชาติเป็นที่ประจักษ์ ก็ยังกอดอำนาจ แม้ประชาชนออกมาประท้วงนอกสภามากมายทั่วไทย ก็ยังใช้อำนาจเผด็จการรัฐสภาอย่างดื้อด้าน จนเมื่อคลังเริ่มถังแตกจากโครงการ “จำนำข้าว” ยังจะออก พรบ. นิรโทษกรรมคืนเงินโกงชาติพี่ชายรวมดอกเบี้ยถึง 6 หมื่นล้านบาท หากอุ๊งอิ๊ง ยังดื้อดึงสไตล์รัฐบาลชินวัตร โดยมีทักษิณกำกับในพื้นที่ ประเทศจึงยุ่งเหยิงวุ่นวายอีกเพียงใด แต่แล้ว องค์กรอิสระอย่างสมาชิกวุฒิสภา และ ศาลรัฐธรรมนูญ ได้นำไปสู่การตัดสินอย่างชัดเจน เป็นธรรม กล้าหาญ ไม่โอนเอียงเข้าข้างผู้กุมอำนาจใดๆ ทำให้ไม่ต้องมีความขัดแย้งของประชาชนผู้รักความยุติธรรม กับรัฐบาลฉ้อฉล และ กลับสู่สภาวะปรกติตามรัฐธรรมนูญได้โดยเร็ว
เวลานี้ ด้วยรัฐธรรมนูญนี้ พรรคประชาชนก็ได้เสียงสูงสุดในสภาฯ จะเป็นผู้บริหารเอง ก็ทำได้ แต่เลือกจะยังไม่ทำ การเลือกตั้งใหม่ พรรคส้มก็เคยเชื่อว่า จะเป็นส้มทั้งแผ่นดิน ก็จะเห็นว่า ไทยเป็นประชาธิปไตยชัดเจนอยู่แล้ว แต่ยังจะแก้รัฐธรรมนูญฉบับ “ปราบโกง” ไปทำไม ? คนไทยเริ่มสงสัย และ ตาสว่างกับความไร้สามารถ ไร้คุณธรรม ข่มทหาร ด้อยค่าศาล อย่างไม่เป็นธรรม ไร้เหตุผลตลอดมาไม่มีเปลี่ยนแปลง
วิกฤต “พรรคประชาธิปัตย์แตก” ผ่านไปแล้ว ได้เวลาหลอมรวมดวงใจ คืนความยิ่งใหญ่ของ “พรรคสถาบัน เสาหลักของไทย” ต่อไป แม้พรรคจะแตกไป ผมว่าชาวหัวใจประชาธิปัตย์ ยังหวังดีต่อประเทศไทย ยังรักประชาธิปไตย ยังมีหัวใจต้านโกง กันทุกคน สาย กปปส. อาจแยกไปเป็นรวมไทยสร้างชาติ หรือ ไทยภักดี สายคนรุ่นใหม่อาจแยกไปเป็นพรรคกล้า คุณอภิสิทธิ์ลาออกจากสมาชิกชั่วคราว รอให้ประชาธิปัตย์กลับมาใช้อุดมการณ์เดิมก็พร้อมจะกลับมา
ในเวลานี้ “รวมกันยิ่งใหญ่…แยกกันไปตกต่ำ” เป็นที่รู้กันว่า การเมืองไทย อาศัยเสียง 2 ส่วน คือ (1) ฐานเสียงอุปถัมภ์ ดูแลชาวบ้านในพื้นที่ กับ (2) ฐานกระแส ตามความนิยม ที่ผ่านมา ประชาธิปัตย์เคยได้เสียงกระแส เป็นกอบเป็นกำ แต่แยกไปให้พรรคลุงตู่ยุคต้านทักษิณ และ แยกไปให้พรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกล-ประชาชน ด้วยตามกระแส “ต้านการสืบทอดอำนาจรัฐประหาร” บัดนี้ กระแสเหล่านั้นกลับกังวล “พรรคเถ้าแก่” และ “พรรคข่มทหาร ด้อยค่าศาล” และ เชื่อว่าอาจกลับมาหาทางเลือกใหม่อย่าง “ประชาธิปัตย์คัมแบ็ก” ได้มากมาย ให้เป็นความหวังทางออกของบ้านเมืองต่อไป
เพราะว่า ตามหลัก “คณิตศาสตร์การเมือง” หากพรรคหนึ่ง มีเสียงในพื้นที่ 100 คะแนน ชนะเลือกตั้ง แต่เมื่อแบ่งเป็น 2 ส่วน 70 กับ 30 แต่กลายเป็นได้เสียงเหลือ 0 เพราะ พรรคอันดับสอง เขามี เสียง 80 คะแนน การแยกกันจะเป็น “แพ้กันทุกคน” จึงชัดเจนว่า “รวมกันยิ่งใหญ่…แยกกันไปตกต่ำ”
เชื่อว่า กลุ่มประชาธิปัตย์ด้านที่พึ่งฐานเสียงแฟนๆ ก็จะดีขึ้น เพราะ ได้กระแสช่วยแรงขึ้นทุกพื้นที่
เชื่อว่า กลุ่มไทยรักษาชาติ กลับมารวมกันในประชาธิปัตย์ หลังลุงตู่ไปเป็นองคมนตรี ก็จะทำให้กำลังประชาธิปไตยใสสะอาดเข้มแข็งขึ้น
เชื่อว่า กลุ่มพรรคกล้า หรือ ไทยภักดี ก็จะมีพลังมากขึ้น ฐานเสียงมั่นใจว่า ลงคะแนนไปไม่สูญเปล่า
เชื่อว่า จะ “วิน-วิน-วิน” ชนะกันทุกคน เพราะ…
ประชาธิปัตย์ + รวมไทยสร้างชาติ + กล้า + ไทยภักดี = ชัยชนะของชาวประชาธิปัตย์ = ชัยชนะของชาวไทย
ไทยทน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดร.ณัฏฐ์ อัดเพื่อไทยสับขาหลอกเล่นสองหน้า ปมยื่นฟันจริยธรรมอนุทิน-รมต.สีเทา
นักกฎหมายมหาชนชี้ การยื่นสอยนายกฯ-รมต.สีเทา เป็นเกมสับขาหลอก เหล้าเก่าในขวดใหม่ เพื่อปั่นราคาและกดดันการเมือง มากกว่าตรวจสอบจริงจัง
พฤฒสภา คือ สภาปรีดี จริงหรือ ? (29)
ก่อนจะเกิดรัฐธรรมนูฉบับที่ 4 หรือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490 เรามีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 คือฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475

