
ตลอด 5ปีที่ผ่านมา (ปี 2563-2568)เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง หลายเรื่องไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตโรคระบาด สงครามที่ส่งผลเป็นวงกว้าง ไปจนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึกมานาน ในฐานะองค์กรที่ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จำเป็นต้องดำเนินนโยบายอย่างรอบคอบและยืดหยุ่น ไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังต้องวางรากฐานให้เศรษฐกิจแข็งแรงพอที่จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ภายใต้ภารกิจหลัก 3ด้าน คือ การรักษาเสถียรภาพโดยรวม (macro-financial stability), การวางรากฐานภาคการเงินสำหรับอนาคต (Financial Landscape) และ การคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (Consumer protection) หัวใจสำคัญของการดำเนินนโยบาย คือ การผสมผสานใช้เครื่องมือที่หลากหลาย หรือ “Integrated Policy Mix” เพราะ ธปท.ตระหนักดีว่า เครื่องมือหลักอย่าง ‘ดอกเบี้ย’ นั้นจะส่งผลกระทบในวงกว้าง (Blunt Tool) อาจไม่เหมาะกับทุกสถานการณ์ ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจึงต้องอาศัยเครื่องมืออื่นๆ ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นมาตรการทางการเงินระยะสั้นที่ตรงจุด หรือการปฏิรูปเชิงโครงสร้างในระยะยาว
ปี 2563-2564: รับมือวิกฤตฉุกเฉิน (COVID-19)
ปี 2563กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักอย่างฉับพลันจากมาตรการ lockdown ในช่วงการระบาดของ COVID-19 จีดีพีหดตัวมากที่สุดในรอบ 22 ปี ที่ 6.1% การท่องเที่ยวที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจแทบจะเป็นอัมพาต จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยมี 40 ล้านคนต่อปีลดลงเหลือเกือบศูนย์ ขณะที่อัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้น เพราะกิจการไม่สามารถเปิดทำการได้ตามปกติ
ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ เป้าหมายของ ธปท.คือ ดำเนินมาตรการให้ทันท่วงทีและต้องยืดหยุ่นพร้อมปรับเปลี่ยน เพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดลงมาก รวมทั้งดูแลให้ระบบการเงินและระบบสถาบันการเงินยังทำงานได้ปกติและสามารถส่งผ่านความช่วยเหลือไปถึงผู้ได้รับผลกระทบได้ โดยในช่วงดังกล่าว กนง.ได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วและต่อเนื่องจนสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค ควบคู่กับการออกมาตรการทางการเงิน ทั้งแก้หนี้เดิมและเติมเงินใหม่
ตัวอย่างมาตรการแก้ปัญหาหนี้เดิมของรายย่อยและธุรกิจ ได้แก่ การออกมาตรการพักชำระหนี้แบบ ‘ปูพรม’ ให้กับลูกหนี้ธุรกิจและครัวเรือนในวงกว้างเป็นเวลา 3-6 เดือน ตามประเภทสินเชื่อ อย่างไรก็ดี ธปท.ตระหนักว่ามาตรการแบบปูพรมนั้นมีต้นทุนสูงและอาจสร้างผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ในระยะยาว เช่น บั่นทอนวินัยทางการเงิน (moral hazard) จึงได้ปรับปรุงมาตรการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป โดยปรับมาตรการพักชำระหนี้วงกว้างให้เป็นการพักหนี้แบบสมัครใจ (opt-in) ไปจนถึงการปรับโครงสร้างหนี้ในช่วงหลัง โดย ธปท.ได้ผลักดันให้สถาบันการเงินเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้อย่างจริงจัง ควบคู่กับการผ่อนปรนเกณฑ์กำกับดูแลให้สถาบันการเงินช่วยเหลือลูกหนี้ได้คล่องตัวขึ้น
การปรับมาตรการที่ยืดหยุ่นและตรงจุดนี้ สะท้อนหลักคิดในการดำเนินนโยบายที่พร้อมปรับตัว และการขับเคลื่อนมาตรการอย่างจริงจังเพื่อให้การช่วยเหลือเกิดประสิทธิผลสูงสุด ทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อได้ (จีดีพีขยายตัว 1.6% ในปี 2564) ระบบการเงินโดยรวมยังทำงานได้ไม่สะดุด และกลไกสินเชื่อสามารถเป็นที่พึ่งให้กับเศรษฐกิจต่อไปได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด โดยโครงการสินเชื่อฟื้นฟู และโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ถูกใช้เกือบเต็มวงเงินที่ 3.5 แสนล้านบาท ช่วยธุรกิจได้กว่า 6.7 หมื่นราย

ปี 2565: ประคองการฟื้นตัวท่ามกลางเงินเฟ้อ
ขณะที่เศรษฐกิจไทยกำลังค่อยๆ ฟื้นตัวในลักษณะที่ไม่ทั่วถึง (K-shaped Recovery) ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายระลอกใหม่จาก สงครามรัสเซีย–ยูเครน ซึ่งส่งผลให้ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น ประเทศเศรษฐกิจหลักหลายประเทศเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อัตราเงินเฟ้อไทยพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปีที่ 7.9% (เดือน ส.ค.65) สถานการณ์ดังกล่าวสร้างโจทย์ที่ยากลำบาก คือ การรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อ กับ การสนับสนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง ไม่สะดุด (smooth take-off) โดยในช่วงเวลานั้น ธปท.ถูกแรงกดดันให้ขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงเหมือนหลายประเทศที่ปรับแบบก้าวกระโดด เพราะมองว่าไทยขึ้นดอกเบี้ยช้าเกินไป (behind the curve)
ธปท.ได้เลือกดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ โดยทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป (gradual and measured) ไม่ได้เร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงเหมือนธนาคารกลางขนาดใหญ่หลายแห่ง เนื่องจากเห็นว่าเงินเฟ้อของไทยมีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยด้านอุปทาน (cost-push inflation) ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นชั่วคราว อีกทั้งเศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และไม่ได้ขยายตัวร้อนแรงเหมือนประเทศอื่น การใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากไป (เหยียบเบรก) จึงอาจกระทบการฟื้นตัวโดยไม่จำเป็น
ขณะเดียวกัน ธปท.ได้ทยอยถอนมาตรการปูพรมบางส่วน เพื่อปรับให้นโยบายสู่ภาวะปกติและลดผลข้างเคียงต่อระบบการเงิน เช่น ปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institutions Development Fund: FIDF) ของสถาบันการเงินกลับมาเป็นปกติที่ 0.46% จากที่ปรับลดเหลือ 0.23% ในช่วงโควิด ขณะที่อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิต ธปท.ยังขอให้คงการลดอัตราฯ ไว้ที่ 5% จนถึงปี 2566 ก่อนที่จะให้ทยอยปรับอัตราฯ ขึ้นเป็น 8% ต่อไป
มองย้อนกลับไป การเลือกปรับดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยให้ความสำคัญกับบริบทการฟื้นตัวของไทยมากกว่าสถานการณ์ในต่างประเทศ ถือเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสม โดยเงินเฟ้อทยอยปรับลดลงกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ภายใน 7 เดือน โดยไม่ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจต้องสะดุดลง (จีดีพีขยายตัว 2.6% ในปี 2565)

ปี 2566-2567: วางรากฐานทางการเงินเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน
เมื่อแรงกดดันด้านเงินเฟ้อคลี่คลายลง เศรษฐกิจโลกกลับเผชิญความผันผวนระลอกใหม่ ทั้งจากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในประเทศเศรษฐกิจหลักและการชะลอลงของเศรษฐกิจจีน ส่วนเศรษฐกิจไทยแม้จะฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่กลับเติบโตได้ไม่ดีเท่าที่ควร โดยภาคการผลิตและอุตสาหกรรมชะลอลง ซึ่งไม่ได้มาจากปัจจัยเชิงวัฏจักรภายนอกเท่านั้น แต่ยังสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศที่สะสมมานาน ทั้งศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจที่ลดลง และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงราว 90% ต่อจีดีพี การดำเนินนโยบายในช่วงนี้จึงมุ่งเน้นการปรับเข้าสู่ระดับที่ช่วยรักษาสมดุลของเศรษฐกิจในระยะปานกลาง ควบคู่ไปกับการวางรากฐานสำหรับอนาคต ภายใต้หลักคิดของการทำ นโยบายที่พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอน (robust policy) ที่ต้องยืดหยุ่น สามารถรองรับพลวัตของเศรษฐกิจการเงินที่เปลี่ยนแปลงเร็ว และใช้เครื่องมือแบบผสมผสาน (policy mix) ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด
โดยในช่วงนี้ กนง.ได้ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 2.5% ซึ่งเป็นระดับที่เอื้อต่อการเติบโตตามศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว และการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน (neutral rate)
นอกจากการปรับมาตรการระยะสั้นให้อยู่ในจุดสมดุล ธปท.ยังให้ความสำคัญกับนโยบายระยะยาวเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจ ทั้งหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และการพัฒนาภาคการเงินให้สามารถสนับสนุนการปรับตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยมีนโยบายสำคัญดังนี้ 1.การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน: ธปท.ได้ยกระดับการแก้ปัญหาหนี้ให้เป็นระบบและครบวงจรมากขึ้น โดยออกหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ที่เน้นให้สถาบันการเงินปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ทั้งก่อน/หลังเป็น NPL และมาตรการแก้หนี้เรื้อรัง (persistent debt) ควบคู่กับการปรับปรุงเกณฑ์การกำกับดูแลที่เป็นรูปธรรม
2.การผลักดันภูมิทัศน์ภาคการเงินใหม่ (New Financial Landscape): ธปท.ได้ริเริ่มวางทิศทางปรับภูมิทัศน์ภาคการเงินใหม่ในภาพรวมตั้งแต่ปี 2565 และทยอยขับเคลื่อนแผนงานภายใต้ทิศทางดังกล่าวให้เป็นรูปธรรม ซึ่งหลายเรื่องต้องใช้เวลาและอาจไม่เห็นผลเร็ว ได้แก่ ด้านดิจิทัล (digital): ส่งเสริมนวัตกรรมที่รับผิดชอบ (responsible innovation) ภายใต้แนวคิด 3 Opens: Open Competition-อนุญาตให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank), Open Infrastructure-เชื่อมโยงระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการ และ Open Data เริ่มโครงการ Your Data ที่ให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลของตนเองได้มากขึ้น และด้านความยั่งยืน (sustainability): สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (brown เป็น less brown) โดยสร้างผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด (low-disruptive transition)

ปี 2568-ปัจจุบัน: สนับสนุนการปรับตัวรับโลกใหม่
ล่าสุด เศรษฐกิจไทยยังพบกับความท้าทายเพิ่มเติมจาก มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐ (US Tariffs) ซึ่งเป็น ‘พายุลูกใหญ่’ ที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางการค้าและการลงทุนทั่วโลก รวมทั้งกดดันภาคการผลิตและการส่งออกของไทยให้ต้องเร่งปรับตัว ภายใต้สถานการณ์ที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าศักยภาพและเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ธปท.จึงปรับทิศทางนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายมากขึ้น ขณะที่ยังให้ความสำคัญกับการรักษาพื้นที่ทางนโยบาย (policy space) ไว้รองรับความไม่แน่นอนในอนาคต
เป้าหมายหลักของการทยอยปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 4ครั้ง (ตั้งแต่ปลายปี 67– เดือน ส.ค.68)สู่ระดับ 1.5%ในช่วงนี้ ไม่ใช่เพื่อ ‘กระตุ้น’ เศรษฐกิจในระยะสั้น แต่เป็นการ ‘ผ่อนคลายภาวะการเงิน’ และ ‘บรรเทาภาระ’ ให้กับภาคธุรกิจและครัวเรือนที่เปราะบาง เพื่อเอื้อต่อการปรับตัวรับโครงสร้างเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปได้ นอกจากการผ่อนคลายภาวะการเงินแล้ว ธปท.ยังได้ออกมาตรการภายใต้โครงการคุณสู้ เราช่วย เพื่อช่วยกลุ่มเปราะบางที่มีศักยภาพให้สามารถรักษาทรัพย์สิน และลดภาระหนี้เพื่อให้ลูกหนี้กลับมาจ่ายไหว (ตัวเบาขึ้น) และไปต่อได้
ขณะเดียวกัน ภารกิจด้านการวางรากฐานภาคการเงินที่ได้ริเริ่มไว้ก็มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรมหลายอย่าง เช่น การประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับความเห็นชอบให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) การเปิดบริการขอข้อมูลการใช้-ชำระค่าน้ำ-ไฟ เพื่อนำไปขอสินเชื่อภายใต้โครงการ Your Data และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่าน (Financing the Transition) ที่ปล่อยสินเชื่อไปแล้ว 9.7 หมื่นล้านบาท (ณ มิ.ย.68) จากเป้าหมาย 1 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ นอกจากการผลักดันด้านนวัตกรรมแล้ว หนึ่งในหัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ภาพ การเงินดิจิทัลที่ปลอดภัยและทั่วถึง (Safe and Inclusive Digital Finance) คือ การสร้างความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการที่มีต่อระบบการเงิน ระบบการชำระเงิน และการใช้บริการทางการเงินต่างๆ รวมถึงการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน ซึ่ง ธปท. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาตรการเพื่อจัดการภัยทุจริตทางการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยปรับนโยบายให้เหมาะสมกับบริบทในแต่ละช่วง
การเดินทางตลอด 5 ปีที่ผ่านมาสอนเราว่า การดูแลเศรษฐกิจของประเทศไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ทุกการตัดสินใจล้วนมาจากการชั่งน้ำหนักปัจจัยรอบด้านภายใต้ข้อมูลที่ดีที่สุด ณ เวลานั้น และต้องพร้อมเรียนรู้และปรับเปลี่ยนเสมอ ภารกิจของธนาคารกลางไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่คือการทำงานหนักในวันนี้ เพื่อสร้างเสถียรภาพและรากฐานที่แข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทยสำหรับวันข้างหน้า.


