
อาทิตย์ที่แล้วสํานักข่าวหลายแห่งถามผมว่ารัฐบาลทําอะไรได้บ้างช่วงสี่เดือนข้างหน้าที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะส่วนใหญ่มองว่าคงทําอะไรได้ไม่มากจากเวลาที่มีจำกัด แต่ผมมองต่าง มองว่าสี่เดือนถ้ารวมเลือกตั้งก็หกเดือนหรือครึ่งปีที่รัฐบาลจะทําอะไรได้มาก รัฐบาลจึงควรมองสี่เดือนว่าเป็นโอกาสที่จะแสดงฝีมือ แสดงผลงานให้ประชาชนเห็นว่าสิ่งดีๆ สิ่งที่ถูกต้องกําลังเกิดขึ้น ให้ประชาชนชอบและอยากให้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก นี่คือสิ่งที่รัฐบาลควรมอง และนี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
ในความเห็นของผม นโยบายของรัฐบาลช่วงสี่เดือนข้างหน้าในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจควรทําสามด้านขนานกัน
ด้านแรกคือ แก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าที่กําลังกระทบความเป็นอยู่ของประชาชนและภาคธุรกิจ ซึ่งที่ประชาชนและธุรกิจบ่นมากคือ เงินหายาก รายได้มีจำกัด กําลังซื้ออ่อนแอ สภาพคล่อง ภาระหนี้ ราคาพลังงานที่สูง และการปรับตัวกับภาษีทรัมป์ที่ภาคธุรกิจต้องการความชัดเจนว่ารายละเอียดคืออะไร เอกชนต้องทําอะไรบ้าง และรัฐบาลจะช่วยธุรกิจในการปรับตัวอย่างไร นี่คือด้านแรก
ในส่วนนี้ ผมมีความเห็นที่อยากจะแนะนำรัฐบาลสองเรื่อง เรื่องเเรก การปรับโครงสร้างหนี้เป็นเรื่องสําคัญต่อการฟื้นเศรษฐกิจและต้องทําจริงจัง เพราะเศรษฐกิจขณะนี้อ่อนแอและระบบการเงินอยู่ในช่วงการลดหนี้หรือ Deleveraging จากหนี้เสียที่ได้เพิ่มขึ้น ธนาคารจึงระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อใหม่ ทำให้การขยายตัวของสินเชื่อของธนาคารพานิชย์ทั้งระบบติดลบ กระทบสภาพคล่องของภาคธุรกิจ การแก้สินเชื่อให้ขยายตัวจึงต้องทําและควรทําในสองด้าน หนึ่ง ลดความเสี่ยง หรือ risk ของการปล่อยกู้ สอง ทําให้เศรษฐกิจขยายตัวเพื่อให้เกิดความต้องการสินเชื่อ การลดความเสี่ยงของการปล่อยกู้ทําได้โดยลดจำนวนหนี้เสียในบัญชีของธนาคารพานิชย์ให้มากสุด เมื่อธนาคารพานิชย์มีหนี้เสียในบัญชีน้อยลง ความพร้อมที่จะปล่อยสินเชื่อหรือ take risk ของธนาคารพานิชย์ก็จะกลับมา
ด้วยเหตุนี้ การปรับโครงสร้างหนี้จึงจําเป็นและสำคัญต่อการฟื้นเศรษฐกิจ คล้ายกรณีปี 2540 การปรับโครงสร้างหนี้จึงต้องทําจริงจัง ต่อยอดจากสิ่งที่ทําอยู่ ทําเป็นระบบโดยใช้กลไกตลาดและรัฐไม่ควรเข้าไปยุ่งหรือเอาเงินหลวงไปอุ้มเพราะเป็นการกู้ยืมของภาคเอกชน แต่ควรสร้างแรงจูงใจให้ธนาคารพานิชย์ปรับโครงสร้างหนี้จริงจัง และใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานที่มีในระบบการเงินเข้ามาช่วยการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น บริษัทบริหารสินทรัพย์ในประเทศที่มีกว่า70แห่ง
คําแนะนําที่สอง คือการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลไม่ควรใช้วิธีแจกเงิน แต่ควรใช้เงินแก้ปัญหาที่ตรงเป้าตรงประเด็น ที่เป็นข่าวมากขณะนี้คือโครงการคนละครึ่งที่รัฐจะช่วยหารสองเพื่อบรรเทาค่าใช้จ่ายด้านบริโภคของประชาชน เป็นการกระตุ้นด้านอุปสงค์ โครงการนี้ถ้าจะทำ รัฐควรเรียนรู้และปิดจุดอ่อนต่าง ๆ ของโครงการนี้ที่สร้างปัญหาในอดีต เช่น การเข้าถึงของประชาชนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ การกําหนดวงเงินใช้จ่าย ทําเลร้านค้าร่วมโครงการ และประเภทสินค้าที่ประชาชนสามารถใช้ได้
แต่ที่อยากแนะนําคือ ปัญหาเศรษฐกิจขณะนี้ลึกกว่าเมื่อห้าปีที่แล้วตอนนําโครงการคนละครึ่งมาใช้ครั้งแรก โครงการคนละครึ่งให้ประโยชน์คนที่มีรายได้ มีงานทํา มีเงินใช้ ที่สามารถใช้เงินที่มีซื้อของได้มากขึ้น แต่คนที่ไม่มีรายได้ ตกงาน ไม่มีเงินก็ไม่ได้ประโยชน์ และสิ่งที่คนเหล่านี้ต้องการคือ มีงานทํา มีรายได้ ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลควรทําคือกระตุ้นเศรษฐกิจด้านอุปทาน คือสร้างงานให้คนเหล่านี้มีงานทํา ให้มีรายได้ ด้วยโครงการในลักษณะคนละครึ่งเช่นกัน แต่เป็นคนละครึ่งด้านการจ้างงาน
รายละเอียดคือบริษัทใดจ้างงานเพิ่ม รัฐจะช่วยบริษัทโดยหารสองหรือจ่ายครึ่งหนึ่งค่าจ้างหรือเงินเดือนที่บริษัทจ่ายให้พนักงานที่จ้างเพิ่ม นี่คือเเรงจูงใจที่จะนําไปสู่การสร้างงานที่ภาคธุรกิจจะมีส่วนร่วม รัฐอาจกำหนดเงื่อนไขว่าพนักงานที่จ้างต้องเป็นคนไทย ตกงานมาแล้วนานกว่าหกเดือนหรือเป็นนักศึกษาจบใหม่ รายได้หรือเงินเดือนของพนักงานที่โครงการช่วยไม่เกิน 25,000บาทต่อเดือน แต่ละคนที่ได้งานรัฐจะช่วยเหลือเป็นเวลาสูงสุดห้าเดือน คือสามเดือนแรกช่วงทดลองงานและอีกสองเดือนหลังได้บรรจุเป็นพนักงาน โครงการลักษณะนี้จะเป็นประโยชน์มากกับธุรกิจเอสเอ็มอีที่เงินเดือนพนักงานจะเป็นค่าใช้จ่ายอันดับต้นๆที่บริษัทจะตัดเมื่อธุรกิจมีปัญหา คือลดการจ้างงาน
ในแง่ผลต่อเศรษฐกิจ ตัวทวีคูณต่อเศรษฐกิจจะมากกว่าโครงการคนละครึ่งที่กระตุ้นการใช้จ่ายอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัวเพราะจะมีเงินของบริษัทเข้ามาร่วมกระตุ้นอีกครึ่งหนึ่ง และผลต่อเศรษฐกิจจะยิ่งทวีคูณถ้าคนละครึ่งด้านการจ้างงานสามารถทําคู่ไปกับคนละครึ่งด้านการใช้จ่าย
ด้านที่สองของนโยบายเศรษฐกิจที่รัฐบาลควรทําในช่วงสี่เดือนข้างหน้า คือวางระบบการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างโดยเริ่มต้นให้เห็นว่าปัญหาโครงสร้างของประเทศเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ และถ้าเริ่มแก้ไขประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและคนในประเทศก็จะเกิดขึ้นทันทีแบบทันตาเห็น ซึ่งมีสองเรื่องที่ผมคิดว่ารัฐบาลสามารถทําได้ในสี่เดือนและเป็นสองเรื่องที่ผมได้ให้ความเห็นกับสื่อไป
หนึ่ง ยกระดับทักษะของแรงงานไทยด้านเทคโนโลยี การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีเป็นปัญหาหลักที่ทําให้ภาคอุตสาหกรรมไทยขาดการพัฒนาและไม่ยกระดับด้านเทคโนโลยีอย่างที่ควร รวมถึงทำให้ประเทศไม่สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงในประเทศได้ แต่นอกจากทักษะแรงงาน ข้อจํากัดของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรมคือการขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีในเขตชนบท และการไม่ลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาโดยบริษัทในภาคอุตสาหกรรมไทยเอง ดังนั้น จุดแรกที่ต้องแก้ไข คือทักษะด้านดิจิทัลคอมพิวเตอร์ของแรงงานเพื่อต่อยอดไปสู่การลงทุนของภาคเอกชน
สิ่งที่รัฐบาลทําได้ช่วงสี่เดือนคือทําโครงการนำร่องยกระดับทักษะแรงงานด้านดิจิทัลให้เห็นเป็นตัวอย่าง เป็นรูปธรรม ทําเป็น Sandbox ที่กระจายอยู่ใน4-5 พื้นที่ของประเทศ อันนี้ไม่ใช่การจัดหลักสูตรอบรมสองสามอาทิตย์ที่ราชการชอบทําที่เน้นจํานวนผู้เข้าอบรมเยอะๆ แต่เป็นหลักสูตรยกระดับทักษะและความรู้ของแรงงานด้านเทคโนโลยีที่จริงจัง มีภาคธุรกิจ บริษัทเทคโนโลยีระดับโลก และนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเข้าร่วม เพื่อพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะด้านดิจิตอลและ cloud computing ให้กับภาคอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และรองรับการพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ เช่น AI และ Data Centre ในอนาคต ไม่ให้ประเทศไทยตกขบวน นี่คือสิ่งที่รัฐบาลสามารถริเริ่มได้ และเราอาจเห็นคนไทยที่มีทักษะระดับนี้เกิดขึ้นเป็นพันคนได้ภายในปีนี้
สอง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับคนในประเทศด้วยการเปิดเสรีธุรกิจ ให้คนที่มีความสามารถมีโอกาสที่จะทําธุรกิจและประกอบอาชีพ ความไม่เสรีคือธุรกิจมีการแข่งขันน้อย ส่วนใหญ่เป็นผลจากกฏหมาย ระเบียบ ข้อห้าม และเงื่อนไขของราชการ ที่สร้างข้อกําหนดในการทําธุรกิจที่ยุ่งยาก มีต้นทุนสูง ปิดกั้นการเข้ามาของคนใหม่ ๆ ซึ่งถ้ารุนแรงก็กลายเป็นธุรกิจผูกขาด ไม่มีการแข่งขัน มีผู้ประกอบการรายเดียวที่มีอำนาจเหนือตลาด การเปิดเสรีคือการผ่อนคลาย ยกเลิกหรือแก้ระเบียบเหล่านี้ ที่ไม่ต้องใช้เงิน แต่มีผลอย่างมากต่อเศรษฐกิจเพราะโอกาสทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นกับคนทั้งประเทศ ตัวอย่างเช่น การเปิดเสรีธุรกิจเบียร์ ที่ท้องถิ่นทั่วประเทศรวมถึงเกษตรกรได้ประโยชน์
ในช่วงสี่เดือน รัฐบาลสามารถสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับคนทั้งประเทศโดยผ่อนคลายกฏระเบียบที่ปิดกั้นการแข่งขันในระดับที่รัฐบาลสามารถทําได้โดยใช้อํานาจบริหารของกระทรวง ไม่ต้องแก้กฏหมาย ประเทศเรามีหน่วยราชการระดับกระทรวงอยู่ 20 แห่ง ซึ่งถ้าแต่ละกระทรวงสามารถผลักดันการเปิดเสรีในส่วนที่ตนเกี่ยวข้องเพียงหนึ่งเรื่องในช่วงสี่เดือนข้างหน้า เช่น พลังงานเรื่องการใช้ที่พลังงานแสงอาทิตย์ เกษตรเรื่องปุ๋ย ประโยชน์ของการผ่อนคลายกฏระเบียบ 20 เรื่องต่อเศรษฐกิจจะมหาศาล และจะสร้างพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโต เหมือนฝนที่ทำให้ดอกไม้ทั้งประเทศบานสะพรั่ง
ด้านที่สามของนโยบายเศรษฐกิจที่รัฐบาลควรทําในช่วงสี่เดือนข้างหน้า คือ สร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจและนักลงทุนว่าการทํานโยบายเศรษฐกิจอย่างระมัดระวัง มีเหตุมีผล เพื่อแก้ปัญหาของประเทศกําลังเกิดขึ้น เพื่อเรียกความเชื่อมั่นในประเทศไทยกลับคืนมา และที่ควรทําคือ
หนึ่ง ศึกษาทบทวนโครงการต่าง ๆ ที่ค้างอยู่โดยรัฐบาลชุดก่อน ๆ ว่าควรทําต่อหรือไม่ เพราะมีหลายโครงการที่ใช้เงินมาก แต่สาธารณชนไม่มีข้อมูลว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน มีความเป็นไปได้ทางธุรกิจหรือไม่ หรือจะสร้างปัญหาให้กับเศรษฐกิจตามมา เช่น อนุญาตินักท่องเที่ยวแปลงสินทรัพย์คริปโตเป็นเงินบาทเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์หรือคาสิโน โครงการ20บาทตลอดสายซึ่งคงมีหน่วยงานรัฐขาดทุน และโครงการแลนด์บริดจ์ นี่คือโครงการที่ควรมีการศึกษาเชิงลึกถึงผลดีผลเสียต่อเศรษฐกิจในแง่นโยบายสาธารณะ ทําโดยองค์กรวิชาชีพอิสระที่เป็นกลางและมีความรู้ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของรัฐบาล อันไหนดีก็ทำต่อ อันไหนไม่ดีก็หยุด ผมเชื่อว่าการทํานโยบายอย่างมีเหตุมีผลจะเรียกศรัทธาและความไว้วางใจที่ภาคเอกชนและประชาชนมีต่อรัฐบาลและนักการเมืองกลับคืนมา
สอง เริ่มแก้ปัญหาระยะยาวที่เป็นความเป็นความตายของประเทศ ที่คนพูดถึง แต่ไม่ทําอะไร หนึ่งในนั้นคือปัญหาสังคมสูงวัย ที่จะนำไปสู่สองปัญหาใหญ่ตามมา คือ คนสูงวัยในประเทศมีมากขึ้นแต่ไม่มีรายได้ และประเทศขาดแคลนแรงงาน ต้องนําแรงงานหรือผู้อพยพจากต่างประเทศมาช่วยเศรษฐกิจ จนนำไปสู่ความตึงเครียดในสังคม เช่นล่าสุดที่อังกฤษ ออสเตรเลีย และในยุโรป
เพื่อลดทอนความรุนแรงของปัญหานี้ในอนาคต รัฐบาลอาจสร้างแรงจูงใจให้บริษัทเอกชนเริ่มจ้างคนสูงวัยเข้าทำงานตามความสามารถเพื่อช่วยบรรเทาการขาดแคลนแรงงาน ทําให้คนสูงวัยมีรายได้ สามารถอยู่ได้อย่างสง่างาม ไม่เป็นภาระให้รัฐหรือลูกหลาน โดยรัฐให้เครดิตภาษีกับภาคธุรกิจเป็นการตอบแทน ซึ่งมีหลายบริษัทเริ่มทําแล้ว นี่คือตัวอย่างของนโยบายที่รัฐบาลสามารถเริ่มผลักดันให้เกิดขึ้นได้ในสี่เดือน ซึ่งไม่ยาก และเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่ประชาชนพร้อมสนับสนุน
เห็นได้ว่าเวลาสี่เดือนนั้นไม่สั้น และมีหลายอย่างที่รัฐบาลสามารถเลือกทำได้ ที่ตรงกับการแก้ปัญหาของประเทศ แต่ไม่ว่ารัฐบาลจะเลือกทําอะไร ต้องทําอย่างมีธรรมาภิบาล คือ โปร่งใส มีเหตุมีผล ตรวจสอบได้ ถูกต้องตามกฏหมาย และมองผลประโยชน์ของประเทศและส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
ที่สําคัญ รัฐบาลต้องสื่อสารกับประชาชนให้มาก ให้ประชาชนเข้าใจสิ่งที่รัฐบาลทํา อย่าปิดบังหรือคลุมเครือ เพราะประชาชนคือผู้ถือหุ้นถ้าเปรียบประเทศเป็นบริษัท และอย่างที่ทราบผู้ถือหุ้นสามารถเปลี่ยนบอร์ดและฝ่ายจัดการของบริษัทได้
เขียนให้คิด
ดร. บัณฑิต นิจถาวร
ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล



