
‘วรภัค’ ฟุ้งคุยสมาคมแบงก์ฉลุย ชง 4 นโยบายเร่งด่วน พร้อม 4 มาตรการเสริมแก้พิษเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยโตติดขัด หลังประเมิน 5 ปีจีดีพีไทยมีลุ้นโตเฉลี่ยแค่ 2.1% ต่ำสุดในอาเซียน
23 ก.ย. 2568 – นายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.การคลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ‘Vorapak Tanyawong’ ภายหลังนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ได้เยือนสมาคมธนาคารไทย เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2568 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 58 ปี โดยมีข้อความระบุว่า ส่วนใหญ่เป็นการรับฟังข้อมูล ปัญหา และคำแนะนำต่าง ๆ จากสมาคมธนาคารไทย ซึ่งถือว่าเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจอีกแห่งหนึ่ง ที่สามารถสะท้อนภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจไทย เพราะธนาคารไทยสัมผัสกับลูกค้าแทบจะทุกกลุ่มได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ สมาคมธนาคารไทยยังได้ฉายภาพเศรษฐกิจในสายตาสมาคมธนาคารไทย ว่า ไทยกำลังเจอปัญหาหลายด้านพุ่งชนกันพอดี ได้แก่ โครงสร้างเดิมที่เปราะบาง เศรษฐกิจนอกระบบยังใหญ่โตถึง 48% ของจีดีพี เกินกว่าหลายประเทศในเอเชีย ทำให้การจัดเก็บภาษีไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ความเหลื่อมล้ำสูง และค่าเงินบาทถูกโยกด้วยธุรกรรมทอง คริปโตเคอร์เรนซี หนี้ครัวเรือนก็สูงลิ่วกว่า 100% ต่อจีดีพี รวมทั้งในและนอกระบบ ขณะที่ความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง โดยไทยเสมือน ‘เครื่องยนต์ติดขัด’ คาดจีดีพีโตเฉลี่ยแค่ 2.1% ใน 5 ปีข้างหน้า ต่ำสุดในอาเซียน ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ไหลเข้าน้อย เงินทุนไทยกลับไหลออกไปลงทุนต่างประเทศแทน
นอกจากนี้ ภาครัฐที่ท้าทายไม่แพ้กัน โดยกฎหมายและกฎระเบียบมากกว่าแสนฉบับ กำลังกลายเป็นภาระ ธุรกิจต้องแบกต้นทุนแฝงสูง ข้อมูลหน่วยงานรัฐไม่เชื่อมกันจนถึงขั้น ‘หาสาเหตุค่าเงินบาทแข็งค่าไม่ได้’ ขณะที่หนี้สาธารณะพุ่งขึ้นต่อเนื่อง
นายวรภัค ระบุอีกว่าข้อเสนอใหญ่จากสมาคมธนาคารไทย คือ การชูแพลตฟอร์ม Reinvent Thailand ซึ่งเป็นเวทีร่วมมือระหว่างรัฐ-เอกชน-การเงิน แนวคิดคือ ‘ไม่ใช่คุยแล้วจบ’ แต่ต้องมีข้อมูลนำทาง (Data-driven), เจ้าภาพชัดเจน, KPI วัดผล และแรงจูงใจที่ถูกต้อง
โดย 3 แนวทางหลักที่สมาคมธนาคารไทยแนะนำ ได้แก่ ภาคประชาชน โดยการจัดตั้ง JV-AMC ระหว่างธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อซื้อหนี้เสียรายย่อยมาบริหารใหม่ และกำหนดให้ผู้ให้กู้ทุกรายต้องรายงานข้อมูลเครดิตเข้าบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (National Credit Bureau : NCB) หรือเครดิตบูโร แล้วสร้าง National Credit Score เพื่อให้ทุกคนถูกประเมินความเสี่ยงด้วยมาตรฐานเดียวกัน
สำหรับภาคธุรกิจ โดยการผลักดันโครงการ Greenly Made by Thais (GMBT) เพื่อให้สินค้าส่งออกไทยมีแต้มต่อด้าน ESG และการใช้วัตถุดิบในประเทศ, มาตรการพี่ช่วยน้อง โดยให้บริษัทใหญ่ช่วยเอสเอ็มอีในห่วงโซ่อุปทาน และการใช้เครื่องมือใหม่ เช่น Digital Lending Platform และ PromptBiz เพื่อลดต้นทุนธุรกิจ ส่วนภาครัฐ โดยการใช้งบจัดซื้อจ้างจ้างปีละ 1.7 ล้านล้านบาท เป็นคันโยกหนุนเอสเอ็มอีและสินค้ากลุ่ม GMBT รวมทั้งปรับโครงสร้างกฎระเบียบ ลดขั้นตอนและความซ้ำซ้อน
อย่างไรก็ดี ข้อเสนอของสมาคมธนาคารไทย สรุปเป็นนโยยายเร่งด่วน 4+4 คือ 4 ประเด็นหลัก และ 4 มาตรการเสริม ประกอบด้วย 1.ดึงเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบ 2. แก้หนี้ครัวเรือนด้วย AMC และ National Credit Score 3. เพิ่มรายได้ครัวเรือน ผ่านการอัปสกิลและค่าตอบแทน 4. กระตุ้นการลงทุนในประเทศ ดึง FDI และหนุน local content บวกกับ 4 มาตรการเสริม ประกอบด้วย ใช้ PromptBiz, ปรับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และเครื่อมือช่วยเอสเอ็มอี
“ข้อเสนอของสมาคมธนาคารไทยครั้งนี้ไม่ใช่เพียงรายงานเชิงเทคนิค แต่คือสัญญาณเตือนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังถูกล้อมด้วยความเสี่ยงรอบด้าน หากรัฐบาลกล้าลงมือจริงตามแนวทางเหล่านี้ประเทศไทยยังมีโอกาสสร้างรอบใหม่ของการเติบโตและก้าวพันกับดักรายได้ปานกลางได้ ซึ่งข้อแนะนำบางอย่างนายกรัฐมนตรีก็มีแนวทางสั่งการให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจได้เตรียมนโยบายไว้อยู่แล้ว อาทิ การแก้หนี้ภาคครัวเรือน การเสริมสร้างสภาพคล่องธุรกิจเอสเอ็มอี การกระตุ้นเศรษฐกิจแบบทำสั้นแต่ได้ยาว การอำนวยความสะดวกและดึงดูดการลงทุนระยะยาวในอุตสาหกรรมเป้าหมายจากต่างประเทศ เป็นต้น” นายวรภัค ระบุ


