
นับเป็นระยะเวลากว่า 17 ปี ของ “คชา บราเธอร์ส” ที่ได้พัฒนาแบรนด์และรังสรรค์เมนูอาหารและเครื่องดื่มมาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมี 5 แบรนด์หลัก อาทิ Kyo Roll En, Jérôme Cheesecake, Oyatsu no Jikan และ Teraoka Gyoza ซึ่งได้มีการขยายสาขาไปกว่า 40 สาขาแล้ว แต่ทว่าสภาพของตลาดและผู้บริโภคที่ปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้นับตั้งแต่ปี 2568 จะได้เห็นความหลากหลายของธุรกิจภายใต้เครือ “คชา บราเธอร์ส” มากขึ้น
สำหรับ “คชา บราเธอร์ส” เรียกว่าเป็นบริษัทนักผลิตขนมหวานชั้นเลิศ ที่เกิดจากความตั้งใจและ Passion ของสองพี่น้องทายาทซาฟารีเวิลด์ อย่าง ฤทธิ์-เดช คิ้วคชา จนปัจจุบันก็มีร้านขนมหลายแบรนด์ที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภค และล่าสุดก็เป็นอีกหนึ่งความตั้งใจกับการปั้นแบรนด์คาเฟ่ขนมไทยน้องใหม่อย่าง “KAO NOM” (ข้าวนม) ที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจขนมหวานในประเทศไทย
เศรษฐกิจไทยปี68กำลังซื้อผู้บริโภคสะดุด
ฤทธิ์ คิ้วคชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท คชา บราเธอร์ส จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจปี 2568 มองว่าชะลอตัวค่อนข้างมาก โดยเฉพาะสาขาที่เปิดให้บริการในเมืองหรือจับตลาดนักท่องเที่ยว คาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดมีการปรับตัวลดลงไปประมาณ 20-30% เลยทีเดียว สาเหตุหลักมาจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในส่วนของบริษัทเองในปี 2567 ยังมีอัตราการเติบโตถึงสองหลัก แต่ปีนี้ยอมรับว่าหลายสาขารายได้ค่อนข้างทรงตัว แต่ขณะเดียวกันด้วยกระแสตลาดชาเขียวมัทฉะที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากช่วงที่ผ่านมา ทำให้รายได้ของบริษัทยังสามารถเติบโตได้ในระดับหนึ่ง โดยรายได้หลักของบริษัทยังคงมาจากแบรนด์เกียวโรลเอ็น 80% รวมถึงการมีแบรนด์ใหม่ก็ช่วยผลักดันการเติบโตที่ดีขึ้น

จากขนมหวานสไตล์ญี่ปุ่นสู่ “ข้าวนม” ขนมไทยยุคใหม่
ย้อนกลับไปถึงความสำเร็จกับการปั้นแบรนด์ Kyo Roll En ขึ้นมาเมื่อสักกว่า 10 ปีที่แล้ว นับว่าเป็นร้านต้นตำรับไอศกรีม ชาเขียวอูจิ มัทฉะแท้ 100% จากเกียวโต เจ้าแรกในเมืองไทย แน่นอนว่าสถานการณ์โควิดได้พลิกธุรกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคไปหลายอย่าง ซึ่ง ฤทธิ์ ระบุว่า เลือกที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้วยการนำเข้าแบรนด์ดังจากต่างประเทศ ไม่ว่าเป็น Teraoka Gyoza เกี๊ยวซ่าแชมป์เปี้ยน 7 สมัย Jerome Cheesecake ชีสเค้กหน้าไหม้อันดับหนึ่งชื่อดังจาก Ginza Tokyo โดยเชฟ 3 ดาวมิชลิน รวมถึง Oyatsu no Jikan ร้าน Kakigori Specialty โดยเชฟ 2 ดาวมิชลินจากญี่ปุ่น โดยในอีก 1 ปีข้างหน้าบริษัทก็เตรียมนำเข้าอีก 2 แบรนด์จากต่างประเทศ
จากประสบการณ์ในแวดวงร้านขนมหวานผ่านการพัฒนาแบรนด์ของตัวเองและเรียนรู้จากแบรนด์ที่นำเข้ามา ทำให้ได้นำมาพัฒนาเพื่อสร้างแบรนด์ใหม่ล่าสุดอย่าง “KAO NOM” (ข้าวนม) แบรนด์ขนมไทยร่วมสมัย ที่นำเสน่ห์แห่งของหวานไทยมาตีความใหม่อย่างประณีต ภายใต้แนวคิด “Rediscovering Thai Desserts”

“ทุกวันนี้ร้านอาหารไทยก็มีชื่อเสียงในระดับโลกมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารไทยที่ได้ดาวมิชลิน หรือในการจัดอันดับร้านอาหารในเอเชีย แต่ขนมไทยยังไม่มีใครพูดถึง เราโชคดีที่มีเชฟขนมไทยซึ่งตอนนี้มีชื่อเสียงระดับโลก คือ น้องชายของผม เชฟเดช คิ้วคชา ซึ่งเป็นผู้คิดค้นสูตรเมนูขนมให้กับในเครือของเรามากว่า 17 ปี โดยเชฟเดชได้เรียนรู้และค้นหาขนมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขึ้นเหนือล่องใต้ในการหาวัตถุดิบที่ขึ้นชื่อและมีเสน่ห์ของแต่ละภาคมาตีความใหม่ในมุมของขนมไทย เราหวังว่า “KAO NOM” (ข้าวนม) จะเป็นแบรนด์ขนมไทยแบรนด์แรกที่มีชื่อเสียงระดับโลกในอนาคตอันใกล้นี้”
แน่นอนว่า “เดช คิ้วคชา” เป็นหนึ่งในเบื้องหลังความสำเร็จของ คชา บราเธอร์ส โดยยังเป็นเชฟขนมหวานยอดเยี่ยมแห่งเอเชียคนไทยคนแรก “Asia’s Best Pastry Chef 2025” จาก The World’s 50 Best Restaurants กับอีกหนึ่งสเต็ปภายใต้แบรนด์ “ข้าวนม ” เขาตั้งใจถ่ายทอดรสสัมผัสของ ข้าวไทยหลากสายพันธุ์และวัตถุดิบพื้นถิ่นจากเกษตรกรทั่วประเทศ เพื่อมาพัฒนากว่า 20 เมนูของหวานและเครื่องดื่ม
โดย เดช ระบุว่า ไอเดียของแบรนด์นี้เริ่มมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ส่วนตัวได้มีการศึกษาประวัติศาสตร์ของขนมไทย ซึ่งต้นกำเนิดตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนมาถึงยุครัตนโกสินทร์และในปัจจุบัน แน่นอนว่าขนมไทยยังได้รับความนิยมมาทุกวันนี้ โดยมีคนบอกว่าขนมก็มาจาก “ข้าว” และ “นม” จึงเป็นสิ่งที่คิดว่าการนำข้าวมาทำขนมก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกไป

เลือกวัตถุดิบท้องถิ่นส่งเสริมเกษตรกรไทย
สำหรับการเลือกวัตถุดิบ เพื่อมาทำเมนูของหวานและเครื่องดื่มให้กับแบรนด์นั้น เดช กล่าวว่า ได้คัดเลือกข้าวสายพันธุ์พิเศษที่ขึ้นชื่อของทุกจังหวัดกว่า 20 สายพันธุ์ โดยผ่านการคัดเลือกมา 6 สายพันธุ์ อาทิ ข้าวหอมมะลิทั้งขาวและแดง ข้าวสังข์หยด จากทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง เพื่อนำมาทำไอศกรีมและชานมรส Signature ข้าวบือกี และข้าวบือซากอ พันธุ์พื้นถิ่นของชาวปกาเกอะญอ จากจังหวัดเชียงใหม่ นำมาทำข้าวเกรียบสดๆ รวมถึงช็อกโกแลตไทยจากเชียงใหม่ และกาแฟไร่ดอยมณีพฤกษ์จากน่าน ปลูกโดยชาวม้งที่พลิกฟื้นไร่เลื่อยลอยให้กลายเป็นไร่กาแฟสุดยอดของไทย หรือมัทฉะไทย ที่ทำมาจากต้นข้าวอ่อน ชาเปลือกกาแฟจากจังหวัดเลย รวมถึงสมุนไพรและผลไม้หายาก มาผสานในกว่า 20 เมนู เพื่อสนับสนุนเกษตรกรไทย
“หลักๆ เลยเราอยากให้ความสำคัญกับความยั่งยืน Sustainability ด้วยแนวคิด Zero Waste โดยใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น เปลือกโกโก้ เปลือกมะกรูด และเปลือกไข่ ที่ปกติจะถูกทิ้งมาดัดแปลงเป็นภาชนะ จาน ชาม ช้อน จากกะลามะพร้าว เปลือกข้าว และข้าวโพด รวมไปถึงยูนิฟอร์มเครื่องแต่งกายของพนักงานที่ผลิตโดย Upcycling จากเปลือกข้าว เพื่อใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด และเพิ่มมูลค่าให้สินค้าไทยด้วยภูมิปัญญาของคนไทย”

รับจ้างผลิต-ส่งออกขนมไหว้พระจันทร์สู่ต่างประเทศ
ฤทธิ์ กล่าวเสริมถึงการขยายธุรกิจว่า หลังจากที่บริษัทได้มีการจำหน่ายขนมไหว้พระจันทร์ จนทำให้เป็นหนึ่งในสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาดแบรนด์หนึ่ง โดยเฉพาะในตลาดขนมไหว้พระจันทร์แบบ Hi-End เทียบชั้นโรงแรม 5 ดาว จะเห็นได้ว่าลูกค้าชื่นชอบรสชาติและแพ็คเกจ ส่งผลให้บริษัทได้มีการขยายสู่กลุ่มลูกค้าองค์กรมายิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร ประกันชีวิต สายการบิน โทรคมนาคม
ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทยังได้ขยายตลาดสู่การรับจ้างผลิต (OEM) คาดว่าในปีหน้าจะขยายไลน์ผลิตอีกเท่าตัว เพื่อรองรับตลาดดังกล่าว แม้ว่าการรับจ้างผลิตอาจจะทำกำไรได้น้อยกว่าค้าปลีกที่บริษัทจำหน่ายเอง แต่มองว่าเป็นโอกาสที่เติบโตที่สูงและมั่นคง เพราะส่วนใหญ่โรงแรมหรือแบรนด์ Luxury ต่างๆ มีแบรนด์ที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่มีความเชี่ยวชาญหรือบุคลากรในการผลิตขนมในจำนวนมากๆ ที่สามารถใช้เป็นของขวัญหรือของฝากได้
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ไปเปิดตลาดในประเทศสิงคโปร์อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าสิงคโปร์มีมาตรฐานสินค้าที่สูงในการที่จะเข้าไปทำตลาด ซึ่งหากบริษัทสามารถเข้าตลาดสิงคโปร์ได้ เชื่อว่าจะต่อยอดไปยังประเทศอื่นๆ ได้ง่ายมากขึ้น โดยมีแผนที่จะขยายไปประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายประเทศในปีหน้า

ส่งแบรนด์สยายปีก สปป.ลาว ควบขยายแฟรนไชส์
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีการขยายตลาดต่างประเทศให้กับแบรนด์ในเครือ โดยได้เซ็นสัญญานำ 3 แบรนด์ คือ Kyo Roll En, Kyo – Café & Meal และ Teraoka Gyoza ไปเปิดที่ สปป.ลาว สาขาแรก ลักษณะ Stand Alone ติดถนนใหญ่ ย่านโพนสีนวน ตั้งอยู่ใจกลางนครเวียงจันทร์ โดยได้พาร์ทเนอร์ที่ให้ความไว้วางใจและให้ลิขสิทธิ์ Master Franchise ให้กับ บริษัท Kolao (Kolao Group) ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศลาว เบื้องต้นตั้งเป้าเปิด 15 สาขาภายใน 3 ปี ส่วนการดำเนินธุรกิจภายในประเทศได้นำร่องการขยายธุรกิจในรูปแบบ Franchise ครั้งแรก ที่ King Square พระราม 3 เปิดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ แบรนด์หลัก Kyo Roll En ยังคงมีแผนขยายสาขาทั่วประเทศ 3-4 สาขา ในแต่ละปี โดยสิ้นปีนี้มีแผนขยายสาขาที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า และสยามพารากอน และเปิดโอกาสในการขยายให้เร็วขึ้นด้วยรูปแบบ Franchise ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอีกด้วย
และทั้งหมดนี้คือการฉายภาพให้เห็นถึงการเติบโตของ คชา บราเธอร์ส ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกของหวานสไตล์ญี่ปุ่นสู่ผู้พัฒนาแบรนด์คุณภาพระดับสากล ทั้งแบรนด์ที่สร้างเองและนำเข้าจากต่างประเทศ นับจากนี้จะไม่ใช่เพียงแค่ ‘ร้านขนม’ เท่านั้น แต่หากกำลังเดินหน้าสู่การเป็น ‘Global F&B Company’ ที่มีความชำนาญด้าน Dessert & Snack ผ่านการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงโมเดลธุรกิจใหม่ แบรนด์ใหม่ เพื่อทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป


