
คลังแจง ‘Fitch’ ปรับ Outlook ไทย เป็น Negative จากความเสี่ยงทางการคลังเพิ่มขึ้นหลังความไม่แน่นอนทางการเมือง ห่วงหนี้ครัวเรือนสูง-ท่องเที่ยวโตต่ำกว่าคาด ชี้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัว เคาะปี 68 โต 2.2% ส่วนปี 69 เหลือโต 1.9% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย จับตาการเมือง 4 เดือนเลือกตั้งใหม่หวั่นทำให้เกิดความไม่แน่นอนของนโยบาย
เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2568 Fitch Ratings (Fitch) ได้รายงานผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยได้คงอันดับความน่าเชื่อถือ (Sovereign Credit Rating) ที่ระดับ BBB+ และปรับมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ที่ Negative Outlook ซึ่งการปรับมุมมองดังกล่าว มีสาเหตุมาจากความเสี่ยงทางการคลังที่เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ประกอบกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่มาจากภาวะอุปสงค์โลกที่ชะลอตัวลง สถานการณ์ของหนี้ครัวเรือน และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ยังต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ Fitch มีความเห็นต่อภาคการเงินต่างประเทศ ภาวะเศรษฐกิจไทย ภาคการคลัง และความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยในภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) นั้น เห็นว่าประเทศไทยยังคงมีฐานะการเงินต่างประเทศที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) ส่งผลให้รัฐบาลมีฐานะสินทรัพย์สุทธิต่างประเทศ (Net External Asset Position) สูงถึง 47% ของจีดีพี ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกันกับ BBB อยู่ที่ -2% และมีฐานะการลงทุนระหว่างประเทศสุทธิอยู่ที่ 12.5% ของจีดีพี
สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทย (Economic Condition) นั้น เห็นว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลง จาก 2.5% ในปี 2567 เป็น 2.2% ในปี 2568 และ 1.9% ในปี 2569 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือ BBB ที่ 2.7% เนื่องจากอุปสงค์โลกทั้งภายในประเทศและต่างประเทศชะลอตัว สถานการณ์หนี้ครัวเรือน และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ยังต่ำกว่าที่คาดการณ์ โดยตั้งแต่เดือน ม.ค.- ส.ค. 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 21.9 ล้านคน ซึ่งต่ำกว่าปี 2562 ที่มีนักท่องเที่ยวอยู่ที่ประมาณ 39.9 ล้านคน
นอกจากนี้ ภาคการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก และได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน Fitch มองว่า ประเทศไทยยังคงมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment : FDI) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในการสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้ในระยะยาว
ทั้งนี้ ในส่วนของภาคการคลัง (Fiscal Position) Fitch มองว่า รัฐบาลยังคงดำเนินนโยบายทางการคลังแบบขาดดุลอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าการขาดดุลงบประมาณจะอยู่ที่ 4.6% ของจีดีพี ในปี 2568 และ 4.3% ในปี 2569 เนื่องจากรัฐบาลมีการออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจและมีการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ซึ่งอาจส่งผลทำให้หนี้ภาครัฐบาล (Gross General Government Debt) จะอยู่ที่ประมาณ 59.4% ของจีดีพี ในเดือน ส.ค. 2568 ซึ่งจะต่ำกว่าค่ากลางของประเทศในกลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือระดับเดียวกันกับ BBB อยู่ที่ 59.6% ของจีดีพี
อย่างไรก็ดี ประเด็นเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมือง (Political Uncertainty) นั้น Fitch มองว่า รัฐบาลชุดใหม่จะมีวาระในการปฏิบัติงานอยู่เพียง 4 เดือน และจะต้องมีการจัดการเลือกตั้งโดยทั่วไปภายในปีหน้า อาจก่อให้เกิดความไม่แน่นอนต่อทิศทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในอนาคต อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอาจจะส่งผลให้การดำเนินการตามแผนการเข้าสู่สมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ในระยะปานกลางล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้


