
ไทยเบฟ เชื่อมั่นศักยภาพรัฐบาล มองหลังเดือน ต.ค. มีสัญญาณที่ดี หลังรัฐบาลกางแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมทุ่มเงินลงทุน 9,000 ล้านบาท เดินหน้าธุรกิจภายใต้ PASSION 2030 สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
30 ก.ย. 2568 – นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ ไทยเบฟ เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจนับตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป มองว่ามีสัญญาณที่ดี หลังจากมีรัฐบาลชุดใหม่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกำลังจะมีนโยบายต่างๆ เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจในทุกระดับชั้น อาทิ โครงการคนละครึ่ง โดยรัฐบาลพยายามสร้างรูปแบบในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงแนวทางในการขับเคลื่อนงบประมาณ
ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งเน้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการเจรจาระดับพหุภาคีที่ผ่านมาวันนี้ชัดเจนมากขึ้น เนื่องจาก นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็เป็นหนึ่งในทีมที่ไปเจรจาภาษีทรัมป์มาก่อนหน้านี้ หรือแม้แต่ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไปพูดบนเวทีโลก แม้ว่าพี่ใหญ่อย่างอเมริกาบอกว่า UN ไม่ค่อยอยู่ในบทความที่สมควรเท่าไหร่ แต่ไทยออกไปพูดชัดเจนว่า UN เป็นหนึ่งในองค์กรเดียวที่จะทำให้โลกใบนี้เกิดความสงบสุขและสันติภาพ แล้วสามารถที่จะสร้างคุณภาพชีวิตให้คนทั้ง 8,000 ล้านคนได้อยู่ดีมีสุข
นายฐาปน กล่าวอีกว่า จากการที่ไทยส่งสัญญาณหลายอย่างชัดเจน สะท้อนถึงศักยภาพโดยรวม รวมถึงเสถียรภาพของรัฐบาลในวันนี้ที่กำลังเดินหน้าอยู่ได้รับความเชื่อมั่น ทั้งทีมเศรษฐกิจ และทีมที่เข้ามาทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงจุดยืนและบทบาทของรัฐบาลไทย จะนำพาเศรษฐกิจของทั้งอาเซียนเติบโตไปอย่างไร ต้องบอกว่าประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของอาเซียน ซึ่งรองจากอินโดนีเซีย หากประเทศไทยมีการพลาดพลั้งไปอย่างไร หรือสะดุดอะไร อาเซียนก็จะสะดุดตามไปด้วย วันนี้ประเทศไทยอยู่บนจุดยืนที่ชัดเจนและได้สร้างเสถียรภาพ สร้างความเข้าใจว่าอาเซียนมีโอกาส และหลายประเทศก็ยังมองมายังภูมิภาคนี้ เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจทั่วโลกก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนัก จีนเติบโตภายในประเทศ เวียดนามโตแบบมีข้อจำกัดด้านกำลังซื้อ
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจโลกมีผลกระทบต่อทุกประเทศ โดยเฉพาะภาษีทรัมป์ ทำให้การค้าที่ส่งออกได้ก็เริ่มติดขัด ของที่เคยขายได้ก็ลดน้อยลง บริษัทก็พยายามผลักดันโอกาสการเติบโต พอเห็นรายได้ของบริษัทได้มาแบบค่อนข้างจำกัด ทำให้ต้องปรับตัวด้วยการบริหารค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ สุดท้ายนักบริหารก็จะบริหารอยู่ 2 อย่างคือ บริหารสร้างรายได้ หรือบริหารค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม ถึงจะได้ผลกำไรให้กับตัวธุรกิจ โดยไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ หรือรอบบัญชีปีหน้าของบริษัท (ตุลาคม 2568 – กันยายน 2569) มองว่าบริษัทยังอยู่ในจุดยืดที่ดีและมีโฮกาสสร้างการเติบโต ซึ่งการเตรียมความพร้อมสำคัญมาก
อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงดำเนินงานภายใต้ PASSION 2030 ของไทยเบฟ มุ่งเน้นกลยุทธ์หลักสองประการ ได้แก่ ‘Reach Competitively’ หรือ การเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการขยายเครือข่ายการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทุกช่องทาง พร้อมการให้บริการที่เป็นเลิศไร้รอยต่อในระดับต้นทุนที่แข่งขันได้ และ ‘Digital for Growth’ หรือ ดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต เสริมศักยภาพในการขยายธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสมรรถภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงาน ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงเครือข่ายคู่ค้าและผู้บริโภค เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยในปีหน้าเตรียมเงินลงทุนไว้ประมาณ 9 พันล้านบาท (ตุลาคม 2568 – กันยายน 2569) แม้ว่าจะน้อยกว่าปีที่ผ่านมา แต่ไม่ได้แปลว่าบริษัทไม่ได้ขยายธุรกิจ แต่บริษัทยังคงขยายระบบการทำงาน มองว่าการลงทุนต้องลงทุนอย่างเข้าใจและเกิดประโยชน์มากกว่า
นายฐาปน กล่าวอีกว่า ในช่วง 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ไทยเบฟมีรายได้จากการขายรวม 258,621 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้การบริโภคจะชะลอตัวลง และถึงแม้จะมีการลงทุนในตราสินค้าและการตลาดที่เพิ่มขึ้นตามแผนงานที่วางไว้เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ตราสินค้าต่าง ๆ แต่กลุ่มมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) ลดลงเพียง 4.0% จากปีก่อน เป็น 45,026 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่ก้าวถัดไป ไทยเบฟมุ่งมั่นเสริมความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำตลาดในประเทศ พร้อมขยายโอกาสในตลาดต่างประเทศ และพัฒนาศักยภาพจากการผนึกกำลังระหว่างกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ นอกจากนี้ กลุ่มยังแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน รวมถึงมุ่งพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานและการกระจายสินค้า ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร ตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ภายใต้ PASSION 2030


