
‘พิพัฒน์’ เดินหน้าคลายปมรถไฟไฮสปีดเชื่อมสามสนามบิน ยึดผลประโยชน์รัฐเป็นหลัก ย้ำไม่แก้สัญญา นัดถกผู้รับสัมปทาน-อีอีซี-รฟท.หาข้อสรุปใน 4 เดือน ผุดแผนสำรองใช้รถไฟทางคู่แหลมฉบัง ขยายเชื่อมอู่ตะเภาแทน
2 ต.ค. 2568 – นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่าภายใต้รัฐบาลนี้ที่มีเวลา 4 เดือน และอีก 4 เดือนเป็นช่วงรักษาการระหว่างรอการเลือกตั้ง จะเร่งดำเนินการผลักดันการลงทุนของโครงการค้างท่อที่มีอยู่ เพื่อให้กระทรวงคมนาคมเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นงบเบิกจ่าย ขณะเดียวกันจะเดินหน้าผลักดันการแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง–สุวรรณภูมิ–อู่ตะเภา) ซึ่งล่าช้ามานานกว่า 6 ปี โดยยืนยันว่าภารกิจสำคัญนี้ต้องหาคำตอบอย่างเป็นรูปธรรมภายในกรอบเวลา 4 เดือนข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะเชิญเอกชนผู้รับสัมปทานโครงการ คือ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด หรือกลุ่มซีพี การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หารือร่วมกันใเพื่อนประเด็นดังกล่าว เพื่อพิจารณาถึงแนวทางออกของโครงการนี้ และหากโครงการถึงทางตันก็จะต้องหารือถึงแนวทางออกที่เป็นไปได้ โดยย้ำจุดยืนชัดเจนว่า จะไม่ยอมให้มีการแก้ไขสัญญาในลักษณะที่สร้างความเสียหายแก่รัฐ โดยเฉพาะประเด็นที่ผู้ประกอบการอาจเสนอให้รัฐเปลี่ยนการจ่ายเงินเป็นแบบชำระตามงวดงานแทนรูปแบบเดิมที่เอกชนต้องลงทุนก่อสร้างจนเสร็จก่อนแล้วรัฐจึงจะชำระเงิน มองว่าเป็นเงื่อนไขที่ไม่อาจยอมรับได้
“สิ่งสำคัญที่สุดคือการยึดประโยชน์ของประชาชนและรัฐเป็นหลัก ไม่ยอมให้เงื่อนไขใดๆ มาทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ โครงการนี้จะต้องได้รับคำตอบที่ชัดเจนโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของไทยต้องหยุดชะงักไปมากกว่านี้อีกต่อไป ยืนยันจะไม่ทำเรื่องที่ผิดกับกฎหมาย เพราะสัญญาเดิมก็เขียนไว้แล้ว เห็นว่าควรเดินตามสัญญาเดิมที่มีอยู่ เพราะอาจจะทำให้ถูกฟ้องได้ ”นายพิพัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันกับเอกชนได้ กระทรวงคมนาคมได้เตรียมแผนสำรองเอาไว้แล้ว โดยอาจจะใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานเดิมของการรถไฟแห่งประเทศไทยในส่วนของ เส้นทางรางคู่แหลมฉบัง–กรุงเทพฯ ที่ใช้งานอยู่แล้ว อาจจะมีการพัฒนาส่วนต่อขยายไปยังสนามบินอู่ตะเภา และปรับปรุงขบวนรถให้ทันสมัยมากขึ้น เพื่อรองรับผู้โดยสารและเชื่อมต่อสนามบินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยยืนยันว่าสิ่งที่พูดเหล่านี้ไม่ได้เป็นการเปิดช่องเพื่อให้เอกชนยกเลิกสัญญา แต่กำลังพูดถึงการเจรจาเพื่อให้กลับไปสู่เงื่อนไขเดิม เพราะหากจะเลิกสัญญาโครงการนี้ก็คงรับผิดชอบไม่ไหว หากเอกชนจะมาฟ้องร้อง ดังนั้นเรื่องนี้มีเป้าหมายเพื่อเชิญผู้ประกอบการเอกชน รฟท. และอีอีซีมาหารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางออก แม้ยอมรับว่า 4 เดือนของรัฐบาลนี้อาจทำให้โครงการนี้เกิดได้ยาก แต่จะเป็นช่วงเวลา 4 เดือนที่เร่งแก้ปัญหา หาทางออกร่วมกัน


