ปักธง 'คนละครึ่ง พลัส' ดีลใหญ่ฟื้นเศรษฐกิจ รัฐเดิมพันปลุกกำลัง เดินเกมเข็นจีดีพีQ4/68โตพ้นหล่ม

ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่เปราะบางจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคภูมิใจไทยได้เร่งดำเนินนโยบายเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน และกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยหนึ่งในนโยบายเด่นที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา คือ โครงการคนละครึ่ง พลัส ซึ่งเป็นการต่อยอดจากโครงการคนละครึ่งเดิมที่เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงวิกฤตโควิด-19 โดยมีเป้าหมายหลักในการเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน ควบคู่กับการสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยให้กลับมามีรายได้อย่างต่อเนื่อง

โครงการคนละครึ่ง พลัส ถูกออกแบบมาให้มีความยืดหยุ่นและเข้าถึงง่ายมากยิ่งขึ้น ในลักษณะ ‘มาตรการร่วมจ่าย (Co-Pay)’ โดยรัฐบาลจะร่วมจ่ายค่าใช้จ่ายของประชาชนในอัตรา 50% ต่อรายการ ภายใต้เงื่อนไขและวงเงินที่กำหนด ซึ่งนอกจากจะเป็นการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวแล้ว ยังช่วยให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เกิดการกระจายรายได้ในระดับรากหญ้า และกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วประเทศ

นับตั้งแต่เปิดตัว โครงการคนละครึ่ง พลัส ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากทั้งประชาชนและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะร้านค้ารายย่อยและร้านอาหารที่มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ต่างรู้สึกว่าโครงการนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้จริง ทั้งยังมองว่า รัฐบาลกำลังให้ความสำคัญกับการดูแลเศรษฐกิจในระดับฐานราก ไม่ใช่เพียงการออกนโยบายเชิงมหภาคเพียงอย่างเดียว

ดังนั้น การดำเนิน โครงการคนละครึ่ง พลัส จึงไม่เพียงเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเท่านั้น แต่ยังถือเป็นเครื่องมือสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ว่า รัฐบาลมีความตั้งใจและพร้อมจะเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างจริงจัง

กางนโยบายทำงาน4เดือน

อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กางนโยบายในการทำงานช่วง 4 เดือนของรัฐบาลอย่างชัดเจน โดยปักหมุดเร่งดำเนินการในด้านสำคัญ ได้แก่ 1. ด้านเศรษฐกิจ ผ่านการสร้างรายได้ ลดรายจ่ายค่าพลังงาน ค่าน้ำดื่มสะอาด ค่าโดยสารและค่าผ่านทาง รวมถึงการแก้หนี้ภาคประชาชน รายละไม่เกิน 1 แสนบาท เพิ่มสภาพคล่องให้เอสเอ็มอี รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท เพิ่มโอกาสการออมของประชาชนผ่านสลากเพื่อการออม รวมถึงจะฟื้นความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยว และเร่งแก้ปัญหาผลกระทบสงครามการค้า

2. ด้านความมั่นคง โดยเร่งแก้ข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ด้วยแนวทางสันติวิธี รักษาอธิปไตยและเขตแดน รวมถึงทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจต่อการยกเลิก MOU ระหว่างไทย-กัมพูชา และเร่งแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจ 3.ด้านสังคมรัฐบาล จะไม่สนับสนุน Entertainment Complex ที่มีธุรกิจพนัน โดยจะแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การพนัน และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวมถึงขจัดการทุจริตประพฤติมิชอบ

4. ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะเร่งติดตั้งเครื่องมือเตือนภัย และพัฒนาเครือข่ายเตือนภัยพิบัติในพื้นที่ความเสี่ยงสูง ส่งเสริมสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด และตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต และ 5. ด้านการปฏิรูปกฎหมายการบริหารภาครัฐ โดยร่างกฎหมายเพื่อยกระดับการบริหารภาครัฐให้ทันสมัย เร่งปฏิรูป และยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรค สร้างภาระไม่จำเป็นให้กับประชาชน

สำหรับ โครงการคนละครึ่ง พลัส นั้น เตรียมจะถูกเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 7 ต.ค. 2568 ภายใต้วงเงินดำเนินการรวม 6.6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น การดำเนินการผ่านการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.4 ล้านราย วงเงิน 2.2 หมื่นล้านบาท และอีกส่วนสำหรับประชาชนทั่วไป 20 ล้านคน ซึ่งมีวงเงินในการดำเนินการอีก 4.4 หมื่นล้านบาท โดยในส่วนนี้จะใช้เม็ดเงินจากงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.5 หมื่นล้านบาท และงบกลางอีก 1.9 หมื่นล้านบาท

เศรษฐกิจไทยกำลังติดหล่ม

เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง ระบุถึงเหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องเร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างเร่งด่วนในช่วง 4 เดือนนี้ ว่า เศรษฐกิจไทยขณะนี้เปรียบเสมือน ‘รถติดหล่ม’ เครื่องยนต์แรก คือ ‘การส่งออก’ กำลังแผ่วและจะค่อย ๆ ดับ ขณะที่ตัวชี้วัดการบริโภคภาคเอกชนได้ส่งสัญญาณติดลบครั้งแรกในเดือน ก.ค. 2568 ส่วนการลงทุนภาคเอกชนยังชะลอ อีกทั้งปัจจุบันอัตราส่วนการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมยังไม่ถึง 60% ดังนั้นขณะนี้เศรษฐกิจไทยจึงเหลือเครื่องยนเพียงตัวเดียว นั่นคือ การใช้จ่ายรัฐบาล

ทั้งนี้ ตัวเลขล่าสุดที่หน่วยงานเศรษฐกิจคาดการณ์ พบว่า ตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 3/2568 ขยายตัวเพียง 1.7% ขณะที่ไตรมาส 4/2568 มีการประเมินว่า แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจจะเหลืออยู่เพียง 0.3% เท่านั้น นั่นเป็นคำถามว่า รัฐบาลจะทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ ที่ยังมีข้อห่วงใยถึงเรื่องวินัยทางการคลังอีกด้วย

รัฐบาลต้องเร่งเดินหน้าเพื่อผลักดันให้รถยนต์เศรษฐกิจไทยพ้นจากหล่ม ไม่ตกเหว โดยยืนยันว่าทุกฝ่ายเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในเรื่องนี้ และจะร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจกันดำเนินการอย่างเต็มที่ ภายใต้การรักษาเสถียรภาพทางการคลังอย่างเข้มข้น โดยยืนยันว่าหลังจากนี้รัฐบาลจะมีแผนเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศออกมาอย่างต่อเนื่องทุกอาทิตย์ ทุกเดือน และภายในเดือน ธ.ค. 2568 แผนทั้งหมดจะต้องออกมา ขณะที่ภายในเดือน ม.ค. 2569 จะต้องเก็บเกี่ยวผลผลิตจากแผนที่ได้วางเอาไว้

ทั้งนี้ นอกจาก โครงการคนละครึ่ง พลัส แล้ว กระทรวงการคลังยังเตรียมที่จะเสนอ ครม. ในวันที่ 14 ต.ค. นี้ เพื่อพิจารณาเห็นชองโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวโดยเฉพาะเมืองรอง โดยจะให้สามารถนำค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเมืองรองมาหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา อีกทั้งจะเร่งกระตุ้นให้หน่วยงานภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ เร่งเบิกจ่ายงบประมาณผ่านการประชุม สัมมนา เพื่อช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง เนื่องจากพบว่าส่วนราชการมีงบในส่วนนี้ราว 3-4 พันล้านบาท ขณะที่รัฐวิสาหกิจอีก 3-4 พันล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าหากสามารถผลักดันในส่วนนี้ได้ก็จะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ได้

เอกนิติ ประเมินว่า จากการเร่งผลักดันโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการกระตุ้นการบริโภค โดยเฉพาะ โครงการคนละครึ่ง พลัส และการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4/2568 ขยายตัวเป็นบวกเพิ่มอีก 0.2-0.4% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้เพียง 0.3% ขณะเดียวกันยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษณฐกิจอื่น ๆ ทั้งการกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง การเร่งรัดเบิกจ่ายของภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และท้องถิ่น เชื่อว่าจะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ใกล้เคียงอีก 0.7% ดังนั้น จึงมั่นใจว่าเมื่อรวมผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2568 จะเติบโตได้เกิน 1% แน่นอน

เปิดไทม์ไลน์ ‘คนละครึ่ง พลัส’

สำหรับกำหนดระยะเวลาการลงทะเบียนและเริ่มใช้สิทธิ์ใน โครงการคนละครึ่ง พลัส เริ่มจาก วันที่ 15 ต.ค. 2568 เปิดลงทะเบียนร้านค้าที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ ซึ่งจะมีการเพิ่มกลุ่มร้านค้านิติบุคคลที่เป็น Micro เอสเอ็มอี ที่อยู่ในระบบของกรมสรรพากร กว่า 5 พันร้านค้า โดยสามารถลงทะเบียนได้จนกว่าจะสิ้นสุดโครงการ

และวันที่ 20-26 ต.ค. 2568 จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปราว 20 ล้านคน โดยแบ่งเป็น ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี 9 ล้านคน และผู้ที่อยู่ในระบบภาษี 11 ล้านคน ลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ โดยในส่วนนี้จะมีระบบในการตรวจสอบผู้ที่อยู่และไม่ได้อยู่ในระบบภาษี และในวันที่ 29 ต.ค. 2568 เป็นวันแรกที่จะเริ่มใช้จ่ายเงินตามสิทธิ์ โดยมีระยะเวลา 2 เดือน จนถึงสิ้นเดือน ธ.ค. 2568

สำหรับสิทธิ์ใน โครงการคนละครึ่ง พลัส ในส่วนของผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะได้วงเงิน 2,400 บาท โดยรัฐช่วยจ่าย 60% และประชาชนจ่าย 40% (60:40) กำหนดให้ใช้จ่ายได้วันละไม่เกิน 200 บาท ส่วนผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี จะได้วงเงิน 2,000 บาท โดยรัฐช่วยจ่าย 50% และประชาชนจ่าย 50% (50:50) กำหนดให้ใช้จ่ายได้วันละไม่เกิน 200 บาท

หนุน ‘คนละครึ่ง พลัส’ เต็มสูบ

ต้องยอมรับว่าโครงการนี้เรียกความเชื่อมั่นจากทั้งภาคประชาชน และเอกชนได้เป็นอย่างดี โดย ณัฐ วงศ์พาณิชย์ ประธานสมาคมค้าปลีกไทย ระบุว่า เชื่อมั่นว่ารัฐบาลและทีมงานมีศักยภาพ มีความพร้อมกำหนดแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้อย่างมั่นคง และเห็นว่ามาตรการที่จะเกิดผลจริงต้องครอบคลุม ตรงเป้า และเห็นผลชัดเจน ไม่เพียงช่วยผู้บริโภค แต่ยังสนับสนุนเอสเอ็มอี เกษตรกร แรงงานและธุรกิจทุกระดับ เพื่อสร้างงาน เพิ่มกำลังซื้อ และกระตุ้นการหมุนเวียนของเงินในระบบ

สำหรับ โครงการคนละครึ่ง พลัส นั้น เชื่อว่าจะเป็น ‘ยาแรง’ ที่ช่วยอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึง และเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมาอย่างยาวนาน โดยสามารถกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน และกระจายรายได้อย่างทั่วถึง พร้อมทั้งยังสนับสนุนให้เดินหน้า โครงการ Easy e-Receipt เฟส2 ในช่วงปลายปีนี้ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในช่วงไฮซีซั่น สำหรับการซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่ลงทะเบียนในระบบ โดยจำกัดวงเงินสูงสุดที่ 100,000 บาทต่อคน และมีระยะเวลาโครงการ 3 เดือน (ต.ค.-ธ.ค.) และปรับเงื่อนไขให้เข้าร่วมสะดวกขึ้น ครอบคลุมหมวดสินค้าทั่วไป สินค้า OTOP และสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งคาดว่าโครงการดังกล่าวนี้จะช่วยสร้างเม็ดเงินให้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 100,000 ล้านบาท อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้ร้านค้า และส่งเสริมให้ร้านค้าเข้าสู่ระบบภาษีและระบบดิจิทัล ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจไทยในภาพรวมด้วย

ขณะที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้มุมมองเกี่ยวกับ โครงการคนละครึ่ง พลัส ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทั้งโครงการคนละครึ่ง พลัส และการเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีเม็ดเงินรวมกันกว่า 6.6 หมื่นล้านบาทนั้น ในแง่เม็ดเงินคาดว่าจะมีผลประมาณ 0.4% ของจีดีพี แต่อาจจะมีผลต่อเศรษฐกิจไม่มากนัก หรือมีผลไม่เกิน 0.2% ของจีดีพี

ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษก ธปท. ระบุว่า ทั้ง 2 มาตรการไม่ได้เป็นมาตรการกระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน แต่เป็นการกระตุ้นการใช้จ่าย ซึ่งอาจจะมีเรื่องของสินค้าต่างประเทศรวมด้วย อย่างไรก็ดี หากสามารถกระตุ้นผู้ที่มีรายได้ระดับสูง อาจจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้มากขึ้น รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภค

ขณะที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ออกบทวิเคราะห์ ภายหลังการแถลงนโยบายของรัฐบาล เมื่อวันที่ 29-30 ก.ย. 2568 โดยมาตรการระยะสั้น Quick Win จะช่วยประคองเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยคาดว่าจะช่วยบรรเทาค่าครองชีพในระยะสั้นและประคองเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4/2568 สำหรับ โครงการคนละครึ่ง พลัส ที่จะเริ่มในช่วงเดือน พ.ย.- ธ.ค. 2568 ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ได้บ้าง

โดยในเบื้องต้นหากวงเงินอยู่ที่ราว 6 หมื่นล้านบาท (รวมการให้เงินประชาชนทั่วไปในโครงการคนละครึ่ง 20 ล้านคน และการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน) คาดว่าจะมีเม็ดเงินใช้จ่ายเพิ่มเติม คิดเป็นราว 0.15% ของจีดีพี ท่ามกลาง Marginal Propensity to Consume (MPC) ที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ จากกำลังซื้อที่อ่อนแรง อย่างไรก็ดี ยังคงต้องรอความชัดเจนเรื่องงบประมาณ เงื่อนไขการใช้จ่าย และสิทธิประโยชน์ที่กำหนด ขณะที่แรงหนุนเพิ่มเติมต่อจีดีพีในปีนี้อาจมีไม่มากนัก เนื่องจากวงเงินดังกล่าวถูกจัดสรรไว้ในงบประมาณเดิมอยู่แล้ว

อย่างไรก็ดี ในระยะถัดไป ด้วยข้อจำกัดของ พื้นที่การคลัง (Fiscal Space) รวมถึงข้อกังวลสถานะการคลังจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) การดำเนินนโยบายทางการคลังต้องเน้นประสิทธิภาพทั้งฝั่งรายได้และรายจ่าย อีกทั้ง ต้องเข้มงวดกับกรอบวินัยทางการคลังมากขึ้น โดยต้องมีแผนเพิ่มศักยภาพทางการคลัง (Fiscal Consolidation Plan) ที่ชัดเจนในการปฏิรูปโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มฐานการจัดเก็บรายได้ภาษี และการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายของรัฐบาลยังมีความท้าทายจากกรอบเวลาบริหารราชการในระยะสั้น ๆ ที่ต้องให้ยุบสภาภายใน 4 เดือนนับจากวันที่ 1 ต.ค. 2568 อีกทั้ง การเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยอาจส่งผลต่อการผลักดันนโยบายหลัก และการเบิกจ่ายงบประมาณตลอดช่วงการดำรงตำแหน่งรัฐบาลและช่วงรัฐบาลรักษาการซึ่งคาดว่าจะมีระยะเวลาทั้งสิ้นราว 8 เดือน

อย่างไรก็ตาม ภายใต้กรอบเวลาสั้นๆ รัฐบาลมีอีกเครื่องมือในการประคองเศรษฐกิจโดยการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณโดยเฉพาะงบลงทุน โดยการเบิกจ่ายในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2568 (มิ.ย. – ก.ย.) ชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนหนึ่งเกิดจากช่วงการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ส่งผลให้ ณ วันที่ 26 ก.ย. 2568 การเบิกจ่ายงบลงทุนอยู่ที่ 60% ต่ำกว่าปีงบประมาณ 2567 ซึ่งอยู่ที่ 65% ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2569 มีแนวโน้มจะต่ำกว่าปีก่อนจากปัจจัยฐานสูงจากความต่อเนื่องของการเร่งรัดการเบิกจ่ายหลังงบประมาณปี 2567 อนุมัติล่าช้า

เพิ่มเพื่อน