
หลังจากรัฐบาล “อนุทิน 1” ได้ประกาศนโยบายถือเป็นส่งสัญญาณเดินเครื่องนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ในช่วงเวลา 4 เดือน ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้ง โดยในส่วนของกระทรวงคมนาคมโดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประกาศยึดแนวคิด “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ประกาศมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการเดินทาง และสร้างขีดความสามารถแข่งขันของประเทศ บนแนวคิด “เดินทางสะดวก ปลอดภัย ลดภาระประชาชน วางโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ สู่ศูนย์กลางคมนาคมภูมิภาค”
โดยมาตรการเร่งด่วนจะถูกจัดเต็ม ทั้ง การตรึงค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แพ็กเกจลดค่าครองชีพ ที่ครอบคลุม รถเมล์–ทางด่วน–เรือโดยสาร และการผลักดัน ตั๋วร่วม เพื่อเชื่อมทุกระบบขนส่ง ขณะเดียวกันยังวางหมาก Quick Win 3 ระยะ เร่งเปิดบริการโครงการใหญ่–เร่งประมูล–ดันเข้า ครม. พร้อมเดินหน้าเคลียร์ปัญหา ไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน ที่ค้างท่อมากว่า 6 ปี เพื่อไม่ให้ประเทศเสียโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาคสำหรับนโยบาย ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ในสองโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วง ต่อเนื่องถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 ตามมติคณะรัฐมนตรีเดิม
ขณะที่รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการร่วมกับกระทรวงการคลังเพื่อศึกษาผลกระทบและแนวทางดำเนินการต่อไป เนื่องจากมาตรการดังกล่าวใช้งบประมาณสูงกว่า 20,000 ล้านบาทต่อปี โดยคณะกรรมการจะต้องสรุปเสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาภายในวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ เพื่อชี้ขาดว่าจะเดินหน้ามาตรการต่อไปหรือไม่
คลอด “แพ็กเกจลดค่าครองชีพ”
นอกจากนนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา แพ็กเกจลดค่าครองชีพด้านการเดินทาง ที่ครอบคลุมระบบขนส่งสาธารณะในหลายมิติ ไม่เพียงรถไฟฟ้า แต่รวมถึงรถเมล์ และค่าทางด่วน รวมถึงการผลักดันร่างพระราชบัญญัติตั๋วร่วม ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถใช้บัตรใบเดียวในการเดินทางทุกระบบด้วยค่าโดยสารที่เป็นธรรม นโยบายลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในการเดินทาง เป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนที่กระทรวงคมนาคมจะดำเนินการ
เบื้องต้นแพ็กเกจดังกล่าวจะครอบคลุม ระบบคมนาคมขนส่ง หลายรูปแบบ ไม่จำกัดเฉพาะรถไฟฟ้า เช่น รถเมล์ ทางด่วน รถไฟฟ้า เรือโดยสาร ฯลฯ มีแนวคิดนำ ตั๋วร่วม มาใช้ เพื่อให้ผู้โดยสารใช้บัตรโดยสารใบเดียวในการเดินทางหลายระบบให้สะดวกมากขึ้น โดยเรื่องนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและออกแบบรายละเอียด ต้องหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกระทรวงการคลัง
ด้านระบบขนส่งมวลชน เดินหน้าปรับปรุงบริการรถโดยสารประจำทาง ขณะนี้ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) อยู่ระหว่างดำเนินการเปิดประมูลโครงการเช่ารถเมล์ไฟฟ้า (EV) จำนวน 1,520 คัน วงเงินกว่า 15,355 ล้านบาท เพื่อทดแทนรถร้อนที่ใช้งานมานานกว่า 30 ปี โดยจะส่งมอบล็อตแรกภายในเดือนกันยายน 2569 และทยอยครบทั้งหมดภายใน 180 วัน โดยจะมีการหารือกลุ่มผู้ใช้บริการเพื่อพิจารณามาตรการดูแลเพิ่มเติม อาทิ ผู้สูงอายุ นักเรียน และนักศึกษาจบใหม่
ลุยเคลียร์ “ไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน”
นายพิพัฒน์ กล่าวถึงทิศทางการทำงานในช่วงเวลาที่เหลือเพียง 4 เดือนของรัฐบาล และอีก 4 เดือน ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้ง โดยยืนยันว่าจะเร่งผลักดันโครงการลงทุนค้างท่อด้านคมนาคมให้เดินหน้า เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นการเบิกจ่ายงบประมาณ เกิดการจ้างงาน และช่วยพยุงเศรษฐกิจในช่วงที่ประเทศกำลังเผชิญภาวะชะลอตัว หนึ่งในโครงการสำคัญที่ให้ความสำคัญ คือ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง–สุวรรณภูมิ–อู่ตะเภา) ซึ่งล่าช้ามานานกว่า 6 ปี นับตั้งแต่เปิดให้เอกชนยื่นข้อเสนอ โดยสาเหตุหลักมาจากการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนที่ยังไม่มีข้อสรุป
สำหรับแนวทางการเจรจาที่มีการหารือคือ การปรับรูปแบบการจ่ายเงินจาก “ก่อสร้างเสร็จแล้วรัฐจ่ายสนับสนุน” มาเป็น “สร้างไปจ่ายไป” หรือแบ่งจ่ายเป็นงวดเหมือนงานประมูลทั่วไป แต่ตนเห็นว่าเป็นการขัดต่อหลักการของสัญญาเดิม และหากนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็เชื่อว่าจะไม่ได้รับการอนุมัติ จะมาขอปรับแก้สัญญาจากทำไปแล้วภาครัฐจะจ่ายทีหลัง มาปรับเป็นสร้างไปจ่ายไป เรื่องนี้ทำไปอย่างนั้นผมคิดว่าผมคงรับไม่ไหว และแน่นอนว่าผมจะไม่ทำเรื่องที่ผิดกับกฎหมาย เพราะสัญญาเดิมก็เขียนไว้แล้ว
อย่างไรก็ตามการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนครั้งนี้ จะเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งบริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด (กลุ่มซีพี) ผู้รับสัมปทาน, การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) มาหารือร่วมกันในเร็วๆ นี้ เพื่อหาทางออกที่เหมาะสม โดยไม่ได้เป็นการเปิดช่องให้เอกชนยกเลิกสัญญา แต่เป็นการหาวิธีกลับไปสู่เงื่อนไขเดิม หากถึงทางตันจริงก็ต้องร่วมกันพิจารณาแนวทางที่เป็นไปได้
นายพิพัฒน์ยังระบุว่า หากโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบินยังไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ ก็จะไม่กระทบต่อการให้บริการ เนื่องจากปัจจุบัน รฟท.มีโครงการรถไฟทางคู่ที่วิ่งถึงสถานีแหลมฉบัง จ.ชลบุรี และสามารถขยายต่อเชื่อมถึงอู่ตะเภา พร้อมเพิ่มจำนวนขบวนรถเพื่อรองรับความต้องการได้ ยอมรับว่า 4 เดือนที่เหลืออาจไม่เพียงพอให้โครงการเกิดผลสำเร็จ แต่จะใช้เวลานี้อย่างเร่งด่วนในการแก้ปัญหาและหาทางออกร่วมกัน เพื่อไม่ให้โครงการมูลค่านับแสนล้านบาทต้องหยุดชะงักต่อไป และเพื่อไม่ให้ประเทศไทยเสียโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาค
นอกจากนี้ ได้ย้ำกับผู้บริหารหน่วยกับงานในสังกัด ว่า ในระยะเวลา 4 เดือนที่เหลือของรัฐบาล ให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานให้ได้มากที่สุด พร้อมย้ำมาตรการลดภาระค่าครองชีพด้านการเดินทาง ทั้งค่าโดยสารและค่าผ่านทางพิเศษ รวมถึงกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยทั้งระหว่างการก่อสร้างและการให้บริการประชาชน
ชูแผนปฏิบัติการ Quick Win 3 ระยะ
นายพิพัฒน์ ระบุว่า กระทรวงคมนาคมจัดทำแผนปฏิบัติการ Quick Win ครอบคลุม 3 ระยะหลัก ได้แก่ โครงการที่จะเปิดให้บริการภายใน 4 เดือน ได้แก่ ทางยกระดับพระราม 2 (มอเตอร์เวย์ M82) บางขุนเทียน–บ้านแพ้ว จะเปิดให้บริการช่วงบางขุนเทียน–เอกชัย ในเดือน ต.ค.2568 และเปิดเต็มเส้นทางในช่วงสงกรานต์ เม.ย.2569 มอเตอร์เวย์ M6 บางปะอิน–นครราชสีมา เปิดใช้ฝั่งเดียวช่วงปีใหม่ 2569 และเปิดเต็ม 2 ฝั่งในสงกรานต์ 2569 มอเตอร์เวย์ M81 บางใหญ่–กาญจนบุรี จะเปิดใช้ทุกวันตั้งแต่ปีใหม่ 2569 จากเดิมจำกัดวัน สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ–บอลิคำไซ) เปิด ธ.ค.2568 ขณะที่รถไฟทางคู่ เฟส 1 เตรียมทยอยเปิดบริการ
โครงการที่จะเปิดประกวดราคาให้แล้วเสร็จใน 4 เดือน ได้แก่ มอเตอร์เวย์ M5 (รังสิต–บางปะอิน) ระยะทาง 22 กม. มอเตอร์เวย์ M9 (บางขุนเทียน–บางบัวทอง) ระยะทาง 35.8 กม. ส่วนต่อขยายทางยกระดับถนนบรมราชชนนี (338) เฟส 1 ช่วงพุทธมณฑลสาย 3–สาย 4 สะพานข้ามทะเลสาบสงขลา (กระแสสินธุ์–เขาชัยสน) สะพานเชื่อมเกาะลันตา (เกาะกลาง–เกาะลันตาน้อย จ.กระบี่) รถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต–มธ. ศูนย์รังสิต รถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ศิริราช–ตลิ่งชัน–ศาลายา พร้อมเพิ่ม 3 สถานี (พระราม 6, บางกรวย–กฟผ., บ้านฉิมพลี)
ขณะที่โครงการค้างท่อที่ต้องเสนอ ครม. ภายใน 4 เดือน ได้แก่ ทางด่วนสายฉลองรัช–วงแหวนตะวันออก (N2 เดิม) วงเงิน 13,666 ล้านบาท มอเตอร์เวย์ M9 วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก (บางบัวทอง–บางปะอิน) วงเงิน 16,000 ล้านบาท มอเตอร์เวย์ M8 นครปฐม–ปากท่อ–ชะอำ เฟส 1 ช่วงนครปฐม–ปากท่อ วงเงิน 61,154 ล้านบาท ทางพิเศษศรีนครินทร์–สุวรรณภูมิ วงเงิน 20,710 ล้านบาท รถไฟทางคู่ เฟส 2 รวม 3 เส้นทาง ได้แก่ ช่วงชุมพร–สุราษฎร์ธานี วงเงิน 30,422 ล้านบาท ช่วงสุราษฎร์ธานี–ชุมทางหาดใหญ่–สงขลา วงเงิน 66,270 ล้านบาท และช่วงชุมทางหาดใหญ่–ปาดังเบซาร์ วงเงิน 7,772 ล้านบาท
“นโยบายคมนาคมในยุครัฐบาลชุดนี้จะเป็นการพัฒนาระบบที่ ทำได้จริง ประชาชนได้ประโยชน์จริง จะเร่งทำทุกโครงการให้เดินหน้าได้จริงภายใน 4 เดือน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพ และสร้างความเชื่อมั่น ขณะที่ทุกโครงการจะต้องคำนึงถึงมาตรฐานความปลอดภัย และผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก โดยพร้อมทำงานอย่างใกล้ชิดกับทุกฝ่าย เพื่อให้ผลลัพธ์เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในระยะเวลารวดเร็วที่สุด ทั้งในมิติการยกระดับคุณภาพชีวิตและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน” นายพิพัฒน์ กล่าว.


