
‘ผู้ว่าแบงก์ชาติ’ ยันยังไร้สัญญาณเงินฝืด พร้อมจับตาใกล้ชิด ระบุพร้อมผ่อนคลายนโยบายการเงินหากจำเป็นเพื่อประคองเศรษฐกิจ ปัดตั้งกองทุนมั่งคั่ง พร้อมลุยแก้หนี้เสียประชาชนเฟสแรก 2 ล้านราย คาดได้ข้อสรุปปลาย ต.ค. 68 คาดเดินหน้าได้ต้นปี 69 การันตีรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินระยะยาว ย้ำเป็นอิสระจากแรงกดดันทางการเมือง
10 ต.ค. 2568 – นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2568 ที่ระดับ 1.50% ต่อปี ซึ่งต่ำเป็นอันดับ 3 จากท้ายตารางนั้น ยืนยันว่าไม่ได้มีประเด็นว่านโยบายการเงินจะไม่ช่วยดูแลเศรษฐกิจหรืออัตราเงินเฟ้อ แต่การดำเนินนโยบายจะต้องดูจังหวะและเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงแล้ว 1% ต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ซึ่งผลของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแต่ละครั้งอยู่ที่ 6-12 เดือน โดยผลของการลดดอกเบีี้ยในช่วงก่อนหน้าก็ยังออกไม่เต็มที่ และขณะนี้ยังมีพื้นที่ของนโยบายการเงินเหลือเพียงพอที่จะพิจารณาใช้ในเวลาและสถานการณ์ที่เหมาะสม โดยการตัดสินใจในระยะต่อไปจะต้องดูข้อมูลภาวะและข้อมูลเศรษฐกิจในเวลานั้นประกอบ แต่ย้ำว่านโยบายการเงินไม่ได้มีข้อจำกัดหรือไม่พร้อมที่จะสนับสนุนและดูแลเศรษฐกิจ
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ลดลงมาอยู่ระดับ 0.9% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ปรับลดลงมามากนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากลดลงของราคาพลังงานและอาหารสด ซึ่งมีน้ำหนักเกือบ 50% จึงทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปต่ำกว่าความรู้สึกมาก แต่เชื่อว่าในระยะปานกลางอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-3% แน่นอน และหากมีความจำเป็น ธปท. ก็พร้อมที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจและผลักดันเงินเฟ้อ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อปี 2569 ว่าควรจะอยู่ที่ระดับเท่าไหร่ แต่ส่วนตัวมองว่า 1-3% เป็นตัวเลขที่เหมาะสม
“เป็นครั้งแรกในสเตรทเม้นของ กนง. ที่มีการพูดเรื่องเงินฝืดชัดเจน ว่าจะต้องมีการจับตาดูความเสี่ยงเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด แต่ยืนยันว่าวันนี้ยังไม่เห็นสัญญาณของเงินฝืด เพราะความหมายในเชิงเศรษฐศาสตร์ การจะเกิดภาวะเงินฝืดนั้น ระดับราคาสินค้าและบริการจะต้องลดลงในวงกว้าง จากดีมานต์ที่อ่อนแอชัดเจน แต่วันนี้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.9% ยังมีดีมานต์รองรับอยู่ ส่วนระดับราคาพลังงานและอาหารสดที่ลดลงมานั้น ธปท.ก็มีการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด และขอย้ำว่า ธปท. พร้อมจะใช้มาตรการการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้นหากมีความจำเป็นจะต้องประคองเศรษฐกิจหรืออัตราเงินเฟ้อ” นายวิทัย กล่าว
นอกจากนี้ ในส่วนของค่าเงินบาทนั้น ธปท. ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งค่าลดลงมาอยู่ที่ 4.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากช่วงก่อนหน้า และแข็งค่าลดลงเมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาค เช่น ไต้หวัน และมาเลเซีย ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อค่าเงินไม่ได้มาจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังมีเรื่องเงินทุนที่ไหลเข้า-ออกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ ธปท. ได้ทำงานประสานร่วมกับกระทรวงการคลัง และอีกหลายหน่วยงาน ในการติดตามดูอย่างใกล้ชิด โดยหากมีเงินทุนต้องสงสัยเข้ามาจะต้องหาให้เจอว่ามีแหล่งมาจากไหน และมีผลต่อค่าเงินบาทอย่างไร ซึ่งหากอะไรไม่ถูกต้องก็ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียกับประเทศ โดย ธปท. จะดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในจุดที่เหมาะสมตามพื่้นฐานเศรษฐกิจ
ส่วนเรื่องทองคำที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นอีกสาเหตุของการแข็งค่าของเงินบาทนั้น ผู้ว่าการ ธปท. ระบุว่า ยอมรับว่าทองคำอาจจะเป็นส่วนเสริมบ้างที่ทำให้เงินบาทแข็งค่ามากขึ้น แต่เฉพาะทองคำที่มีการซื้อขายผ่านแอปพลิเคชันในรูปเงินของบาทเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการซื้อขายของรายย่อย ซึ่งเรื่องนี้อยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงการคลัง และร้านค้าทอง ว่าจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการเพื่อเข้ามาดูแลการซื้อขายในส่วนนี้หรือไม่ ถ้าจำเป็นก็ต้องเร่งหาข้อสรุปว่าควรจะดำเนินการอย่างไร
สำหรับแนวคิดเรื่องการดึงเงินกองทุนสำรองระหว่างประเทศมาจัดตั้งกองทุนมั่งคั่งนั้น ยืนยันว่า ธปท. ยังไม่มีแนวคิดที่จะทำเรื่องนี้ แต่ในอนาคตหากมีข้อเสนอเข้ามา ค่อยมาพิจารณากันอีกที เนื่องจากปัจจุบัน ธปท. ได้มีการนำเงินกองทุนสำรองระหว่างประเทศไปกระจายผ่านการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลตอบแทนในแง่ดีอยู่แล้ว
นายวิทัย ยังกล่าวถึงความคืบหน้าในการแก้ปัญหาหนี้ภาคประชาชน ว่า แนวทางที่เป็นไปได้ในขณะนี้ คือ การจัดตั้งบริษัทจัดการสินทรัพย์ (Asset Management Company : AMC) ผ่านกลไกการซื้อหนี้ออกมาจากระบบธนาคาร โดยใช้เงินของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท ดำเนินการผ่าน บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงการคลัง สมาคมธนาคารไทย และสถาบันการเงิน ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปไม่เกินปลายเดือน ต.ค. นี้ หลังจากนั้นจะต้องเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงต้นปี 2569
“AMC เป็นแนวคิดที่ทำมาระยะหนึ่งแล้ว โดยเบื้องต้นจะดำเนินการกับกลุ่มหนี้เสียไม่เกิน 1 แสนบาท กว่า 2 ล้านคน จากทั้งหมด 3 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้เสียที่อยู่ในธนาคารพาณิชย์ 7 แสนกว่าคน สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 7 แสนกว่าคน และนอนแบงก์ที่เป็นบริษัทลูกของสถาบันการเงินอีก 8 แสนกว่าคน ส่วนลูกหนี้ที่อยู่กับนอนแบงก์อาจจะต้องดำเนินการในระยะถัดไป เนื่องจากมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน โดยหลักการคือ ต้องดุว่าก้อนไหนทำง่ายที่สุด อยากทำให้จบเร็ว ปริมาณเยอะ แต่ถ้าทำได้หมดก็อยากทำ ส่วนถ้าทำหมดแล้วกระบวนการช้ามากก็อาจจะปรับเป็นเฟส โดยตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการหารือเพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนอีกครั้ง” ผู้ว่าการ ธปท. ระบุ
ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าแนวทางดังกล่าวจะช่วยลดหนี้ครัวเรือนได้ โดยหลายฝ่ายอยากเห็นลดลงมาอยู่ที่ 80% แต่ส่วนตัวอยากลดลงมาให้มากที่สุด แต่ก็ต้องยอมรับว่าหากลดลงมามากก็ไม่ดี เพราะอาจจะเป็นข้อสงสัยเรื่องเศรษฐกิจ ดังนั้นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างไม่ใช่การกดปุ่มออกมาตรการแล้วจบ แต่เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ทำหลายมาตรการต่อเนื่องเหมือนจิ๊กซอร์ต่อกัน และหลายหน่วยงานต้องร่วมด้วยช่วยกัน
อย่างไรก็ดี นายวิทัย ยืนยันว่า ภารกิจในการทำหน้าที่ผู้ว่าการ ธปท. นั้น จะยึดมั่นในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว ผ่าน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ เสถียรภาพทางการเงิน เสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน และเสถียรภาพระบบการชำระเงิน โดยจะดำเนินนโยบายด้วยความเป็นอิสระภายใต้กรอบกฎหมาย อิสระจากการถูกกดดันทางการเมือง และมีอิสระจากการตัดสินใจ โดยพร้อมทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนมากขึ้น เพื่อผลักดันนโยบาย ตลอดจนประสานนโยบายการเงินและการคลัง ในการช่วยประคับประคองเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไป รวมทั้งเอื้อให้เกิดการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่จับต้องได้


