
21 ต.ค. 2568 – เมื่อวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม 2568 เหตุการณ์ที่ Amazon Web Services (AWS) แพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกเกิดปัญหาระบบล่มทั่วโลก ได้เผยให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่หลายองค์กรยังมองข้าม
ดร.นิพนธ์ นาชิน ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ บริษัทอัลฟ่าเซค ได้ให้ความเห็นต่อเหตุการณ์ดังกล่าวว่า นับเป็นบทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าการพึ่งพาระบบคลาวด์เพียงแหล่งเดียวโดยไม่มีแผนสำรองนั้นเสี่ยงต่อความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลและการดำเนินธุรกิจอย่างยิ่ง
เมื่อระบบหลักหยุดทำงาน
ดร.นิพนธ์ อธิบายว่า ในเช้าวันดังกล่าว เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และโซเชียลเน็ตเวิร์กจำนวนมากทั่วโลกไม่สามารถให้บริการได้ ในสหรัฐอเมริกา ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึง Amazon, Alexa, Prime Video, Crunchyroll, Canva, Perplexity และ Duolingo รวมถึงโซเชียลมีเดียอย่าง Snapchat, Goodreads และเกมยอดนิยมอย่าง Fortnite, Roblox และ Clash Royale ส่วนในยุโรปก็ประสบปัญหาคล้ายกัน
สาเหตุหลักมาจากการที่บริการเหล่านี้มีโครงสร้างพื้นฐานร่วมกันบน AWS เมื่อแพลตฟอร์มนี้ประสบปัญหา ไม่ใช่แค่เซิร์ฟเวอร์เดียวที่หยุดทำงาน แต่บริการพื้นฐานทั้งหมดที่เว็บไซต์และแอปพึ่งพาอยู่จะได้รับผลกระทบด้วย ไม่ว่าจะเป็นระบบคอมพิวติ้ง พื้นที่จัดเก็บข้อมูล DNS ระบบยืนยันตัวตน และ CDN
หากไม่มีสถาปัตยกรรมแบบหลายภูมิภาค (multi-region) หรือแผนฉุกเฉิน ทุกระบบจะหยุดทำงานไปพร้อมกัน ตั้งแต่การโหลดหน้าเว็บ การเข้าสู่ระบบ การชำระเงิน ไปจนถึงการโพสต์ข้อความ ผลกระทบแบบลูกโซ่และการสูญเสียการมองเห็นระบบ
“ปัญหาที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อ AWS ประสบปัญหาหรือทำงานผิดปกติ หลายองค์กรจะสูญเสียความสามารถในการติดตามและตรวจสอบระบบ (observability) เพราะเครื่องมือเหล่านี้ก็อยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน” หากเครื่องมืออย่าง CloudWatch, CloudTrail, GuardDuty, SIEM, แดชบอร์ด หรือระบบแจ้งเตือนถูกโฮสต์ในภูมิภาคเดียวกัน เมื่อเกิดปัญหา เครื่องมือเหล่านี้ก็จะหยุดทำงานตาม ทำให้เว็บไซต์ขาดข้อมูลสถิติ ล็อก หรือข้อมูลยืนยันตัวตนที่ถูกต้อง และอาจเปิดช่องโหว่ให้เกิดความเสี่ยงทางความปลอดภัยได้
หลายองค์กรรวมศูนย์ทุกอย่างไว้ในภูมิภาคและบัญชีเดียว รวมถึงข้อมูลสำรอง (backup) และกุญแจเข้ารหัส (KMS keys) หากไม่มีระบบสำรองข้ามภูมิภาค (multi-region failover) เมื่อเกิดปัญหาจะไม่สามารถให้บริการได้เลย นอกจากนี้ บางทีมงานภายใต้ความกดดันอาจผ่อนคลายมาตรการรักษาความปลอดภัย (security groups) ปิดการใช้งาน WAF หรือขยายสิทธิ์การเข้าถึง (IAM permissions) เพื่อพยายามให้ระบบทำงานต่อ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดปัญหาเพิ่มเติมหรือเปิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยแก่แอปพลิเคชัน
เหตุใดจึงยังไม่มี “แผนสำรอง”
ดร.นิพนธ์ นาชิน วิเคราะห์ว่า แม้ว่าเหตุการณ์ระบบขัดข้องจะมีความเสี่ยงสูง แต่เหตุใดหลายองค์กรจึงยังไม่จัดทำแผนสำรอง “เนื่องจากการจัดทำแผนสำรองดูเหมือนจะต้องใช้งบประมาณสูงและมีความซับซ้อนทางเทคนิค”
ลำดับความสำคัญขององค์กรหลายแห่งยังไม่สอดคล้องกัน ฝ่ายธุรกิจให้ความสำคัญกับความรวดเร็วในการพัฒนามากกว่าความยืดหยุ่นและความสามารถในการฟื้นตัวของระบบ ผู้บริหารมีความเชื่อมั่นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นกับองค์กร การตั้งค่าระบบแบบหลายภูมิภาค การจำลองข้อมูล การสร้างระบบยืนยันตัวตนสำรอง คู่มือการปฏิบัติงานฉุกเฉิน และการฝึกซ้อม ล้วนถูกมองว่าเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายเป็นทวีคูณ หลายองค์กรเชื่อว่า AWS มีเสถียรภาพสูงหรือข้อตกลงระดับบริการ (SLA) จะสามารถชดเชยความเสียหายได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น
บทบาทของหลักการรักษาความปลอดภัยตั้งแต่เริ่มต้น
ณ จุดนี้ แนวคิด “ความปลอดภัยตั้งแต่ต้น” (Security by Design) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง หลายองค์กรยังไม่บูรณาการความปลอดภัยทางไซเบอร์ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือโครงสร้างพื้นฐาน แต่มักจะดำเนินการแก้ไขในภายหลังด้วยการปรับปรุงระบบ (patch) แทนที่จะสร้างระบบที่มีความยืดหยุ่นตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าและมีต้นทุนสูงกว่าในระยะยาว
ข้อเสนอแนะสำหรับองค์กร
เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงดังกล่าว องค์กรควรดำเนินการดังนี้:
1.บูรณาการความยืดหยุ่นเข้าในตัวชี้วัดผลการดำเนินงาน (KPIs) – วัดความสำเร็จจากความสามารถในการฟื้นตัวของระบบ ไม่ใช่เพียงความรวดเร็วในการพัฒนา
2. แยกบัญชีและภูมิภาคในการให้บริการ – กระจายความเสี่ยงโดยไม่รวมศูนย์ทรัพยากรทั้งหมดไว้ในที่เดียว
3. สร้างระบบสำรองข้อมูลและกลไกป้องกันอัตโนมัติ – จัดให้มีการสำรองข้อมูลและระบบรักษาความปลอดภัยที่ทำงานอัตโนมัติ
4. จัดทำแผนและฝึกซ้อมการสลับระบบฉุกเฉิน (failover drills) – เตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์จริง
การลงทุนในมาตรการเหล่านี้จะมีต้นทุนที่เหมาะสมกว่าการต้องชี้แจงต่อผู้ใช้งานจำนวนมากเกี่ยวกับการหยุดชะงักของบริการ และที่สำคัญคือ การป้องกันความเสียหายต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่นจากลูกค้าที่อาจสูญเสียไปอย่างถาวร
สรุป: เหตุการณ์ AWS ประสบปัญหาครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า การพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานเดียวโดยไม่มีแผนสำรองคือความเสี่ยงที่ไม่ควรละเลย องค์กรที่ให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยและความต่อเนื่องของธุรกิจควรเริ่มปรับกลยุทธ์ตั้งแต่วันนี้ เพราะคำถามสำคัญไม่ใช่ว่า “เหตุการณ์จะเกิดขึ้นหรือไม่” แต่คือ “เหตุการณ์จะเกิดขึ้นเมื่อใด”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ล่มไม่เป็นท่า! 'สรวงศ์' คุยโวระบบลงทะเบียน 'เที่ยวไทยคนละครึ่ง' ต่างจากยุคบิ๊กตู่
นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ว่า ขณะนี้เน้นเรื่องการลงทะเบียนผู้ประกอบการ มีผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิ์ ประมาณ 1,500,000 คน แต่จำนวนผู้ประกอบการที่ลงทะเบียน ยังมีไม่มากเท่าไหร่ ซึ่งขณะนี้มีคนลงทะเบียนใช้สิทธิ์และชำระการจองแล้ว 70,000 คน

