'คลัง' ลงดาบระงับ7ร้านค้าทุจริตคนละครึ่ง พลัส ยันเอาผิดทางกม.ถึงที่สุด ปลื้มเงินสะพัด2.2พันล.

‘คลัง’ ลงดาบระงับสิทธิ 7 ร้านค้าทุจริตโครงการคนละครึ่ง พลัส พร้อมเดินหน้าดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด ไม่มีการยอมความ พร้อมยันไม่ใช่โครงการหลอกคน-ผู้ประกอบการเข้าระบบภาษี ชี้หากถึงเกณฑ์สรรพากรมีเครื่องมือตามตัวได้อยู่แล้ว ฟุ้งยอดใช้จ่ายกระหึ่ม ประชาชนลุยสแกนดันเงินสะพัดแล้ว 2.2 พันล้านบาท

30 ต.ค. 2568 – นายวินิจ วิเศษสุวรรภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการคนละครึ่ง พลัส ว่า ภาพรวมการใช้จ่าย ณ เวลา 10.00 น. ของวันที่ 30 ต.ค. 2568 พบว่า มีประชาชนใช้จ่ายอย่างคึกคัก คิดเป็นวงเงินกว่า 2.2 พันล้านบาท ในส่วนนี้แบ่งเป็น ประชาชนจ่าย 1.4 พันล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่าย 1.24 พันล้านบาท โดยมีประชาชนใช้สิทธิ 8.7 ล้านคน จำจำนวนผู้ได้รับสิทธิ 20 ล้านคน ซึ่งในส่วนนี้เป็นผู้ที่อยู่ในระบบภาษี 7.9-8 ล้านคน และผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษีอีก 12 ล้านคน ผ่าน 5.4 แสนร้านค้า จากปัจจุบันมีร้านค้าเข้าร่วมโครงการแล้ว 6.9 ร้านค้า โดยในจำนวนนี้เป็นร้านค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม 3.4 แสนร้านค้า ที่เหลือเป็นร้านธงฟ้า และอื่น ๆ

ขณะที่การใช้จ่าย พบว่า ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) มีการใช้จ่ายคึกคัก คิดเป็น 20% ที่เหลือเป็นภาคอื่น ๆ ราว 14-15% ส่วนภาคตะวันตก มีการใช้จ่ายน้อยที่สุด เนื่องจากมีร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการค่อนข้างน้อย โดยการใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ราว 52%

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการระงับสิทธิกับร้านค้าที่ทำผิดเงื่อนไขโครงการคนละครึ่ง พลัส เพิ่มอีก 7 ราย จากก่อนหน้านี้ดำเนินการแล้ว 3 ราย โดยทั้งหมดเป็นผู้ประกอบการร้านค้าที่มีแอปพลิเคชันถุงเงิน สืบเนื่องจากการเพิ่มระบบ Data Analysis ในการตรวจสอบและติดตามการใช้จ่ายในโครงการ ซึ่งทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับธุรกรรมที่ต้องสงสัย หรือผิดปกติได้มากขึ้น

“เราเพิ่มระบบ Data Analysis เข้ามา ซึ่งตรงนี้จะช่วยในการรันข้อมูล และมีระบบติดตามการใช้จ่ายในโครงการอย่างใกล้ชิด ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ ร้านค้าหนึ่งที่เข้าร่วมโครงการมีการขายสินค้าที่จุดที่ 1 แล้ว และภายในระยะเวลา 1 นาที พบว่ามีการขายสินค้าอีกในระยะทางที่ห่างออกไปหลายสิบกิิโลเมตร ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติ ตรงนี้ระบบก็จะเข้าไปติดตามดูอย่างใกล้ชิด จริง ๆ แล้วเรามีระบบติดตามแบบนี้อยู่แล้ว แต่ในโครงการคนละครึ่ง พลัสครั้งนี้ได้มีการเตรียมการอย่างดีเพื่อจัดการปัญหาเหล่านี้” นายวินิจ กล่าว

ทั้งนี้ ยืนยันว่าปัจจุบันร้านค้าหรือประชาชนที่ทำผิดหรือส่อทำผิดตามเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่ง พลัส ยังมีจำนวนน้อย แต่หากหน่วยงานที่รับผิดชอบเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจและติดตามก็เชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาในส่วนนี้ไปได้ และกระทรวงการคลังยืนยันชัดเจนว่าหากพบมีการกระทำผิดเงื่อนไขของโครงการ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าหรือประชาชน พร้อมจะดำเนินคดีฉ้อโกงอย่างถึงที่สุดทุกกรณีทั้ง 2 ฝ่าย ไม่มีการยอมความแต่อย่างใด

นายวินิจ กล่าวอีกว่า อยากยืนยันและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส ว่ารัฐบาลวางเป้าหมายให้โครงการดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นกับดักในการหลอกล่อเก็บภาษีกับใครแต่อย่างใด ส่วนข้อกังวลเรื่องการถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลังนั้น อยากชี้แจงว่าหากธุรกิจ ร้านค้า หรือประชาชนที่เข่าข่ายต้องเสียภาษีอยู่แล้วในส่วนนี้กรมสรรพากรจะมีเครื่องมือในการตรวจจับและตรวจสอบที่มีศักยภาพอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับโครงการคนละครึ่ง พลัส แน่นอน

“อยากให้เห็นภาพที่ชัดเจนอีกครั้งว่า โครงการคนละครึ่ง พลัสนั้นไม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่อใช้เป็นกับดักหลอกให้ใครหรือผู้ประกอบการรายใดต้องมาเสียภาษี แต่อยากให้มองว่าเป็นโครงการที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบการร้านค้าที่จะมียอดขาย มีลูกค้ามากขึ้น ขณะที่ประชาชนก็ได้ลดภาระค่าใช้จ่ายด้วย” นายวินิจ ระบุ

อย่างไรก็ดี หลังจากนี้กระทรวงการคลังจะเร่งผลักดันมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพให้ผู้ค้า ผ่านการ Up-Skill/Re-Skill ซึ่งตรงนี้ไม่ได้เป็นการบังคับ แต่ต้องการเพิ่มทักษะให้กับผู้ประกอบการในการเข้าถึงแพลตฟอร์ม หรือแหล่งทุน ได้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยให้การค้าขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านการให้แรงจูงใจในมิติต่าง ๆ โดยรายละเอียดทั้งหมดอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม ใกล้เสร็จเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะมีการชี้แจงให้ทราบก่อนการเดินหน้าโครงการคนละครึ่ง พลัส เฟส 2 แน่นอน

เพิ่มเพื่อน