ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ปรับประมาณการจีดีพีปี 68 ที่ 2.2% และปี 69 ที่ 1.7% หลังประเมินจีดีพีไตรมาส 3/68 หดตัว -0.48% QoQ ครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส เตือนช่วงไตรมาส 4 ศก.มีทั้งโอกาสและความท้าทาย
30 ต.ค.68 -นายอมรเทพ จาวะลา Head, Research Office ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่าเศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายทางการเมืองในประเทศช่วงไตรมาส 3แม้การเปลี่ยนผ่านของรัฐบาลจะทำได้รวดเร็วและฟื้นคืนความเชื่อมั่นมาได้บ้างแต่บาดแผลเศรษฐกิจที่ซบเซาจากกำลังซื้อที่อ่อนแอ นักท่องเที่ยวลดลงรายได้ภาคเกษตรตกต่ำจากราคาสินค้าที่ตกต่ำตลอดจนรายได้จากภาคการก่อสร้างที่ทรุดตัวจากยอดขายคอนโดที่ลดลงต่อเนื่องก่อนที่สภาพัฒน์จะรายงานตัวเลขเศรษฐกิจในวันที่ 17 พฤศจิกายน นี้
สำนักวิจัย CIMB THAI ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 จะขยายตัว 1.2% YoY หรือ -0.48%QoQ หลังปรับฤดูกาล ซึ่งแม้จะเป็นการหดตัวเทียบไตรมาสต่อไตรมาสครั้งแรกในรอบ 10ไตรมาส หรือนับจากไตรมาส 4 ปี 2565 แต่การหดตัวของเศรษฐกิจไทยครั้งนี้น่าจะเป็นเพียงช่วงไตรมาส 3 ไม่น่าลากยาวไปสู่ไตรมาส 4จนเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิค หรือเศรษฐกิจหดตัวเทียบไตรมาสต่อไตรมาสสองไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งปัจจัยที่กดดันเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3มาจากการบริโภคภาคเอกชนที่แทบไม่ขยายตัวเลยจากไตรมาสก่อนและมาจากการลงทุนภาคเอกชนและการส่งออกสุทธิที่หดตัวจากไตรมาสก่อนหน้าแม้ตัวเลขการส่งออกจะเติบโตดี แต่การนำเข้าก็เร่งแรงเช่นกัน โดยภาพรวม สำนักวิจัยได้ปรับคาดการณ์ GDP เศรษฐกิจไทยปี 2568 และ 2569 เป็น 2.2% และ 1.7% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามความหวังของเศรษฐกิจไตรมาส 4เหมือนจะอยู่ที่มาตรการภาครัฐและแรงส่งจากนโยบายการเงินเป็นหลัก แรงที่หนึ่ง มาตรการคนละครึ่งพลัส ช่วยฟื้นความเชื่อมั่นลดภาระใช้จ่ายกระตุ้นให้คนมาซื้อสินค้าและบริการมากขึ้น และรัฐบาลอาจมีมาตรการอื่นๆมาสนับสนุนการบริโภคและการท่องเที่ยวด้วย เช่น มาตรการลดหย่อนภาษีซึ่งมาตรการทั้งหลายนี้น่าจะสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชนให้พลิกกลับมาขยายตัวได้อย่างเร่งแรงขึ้น แต่ด้วยงบประมาณที่จำกัด การกระตุ้นอาจทำได้ไม่มากอีกทั้งให้ระมัดระวังการชะลอตัวของการบริโภคหลังสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหากมาตรการต่างๆ ไม่ได้ก่อให้เกิดการจ้างงานหรือการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนเนื่องจากผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าในช่วงมาตรการต่างๆอาจไม่จับจ่ายใช้สอยหลังสิ้นสุดมาตรการ เพราะคนมักสต็อกสินค้าไว้ส่งผลให้การบริโภคลดลงภายหลัง ซึ่งอาจเกิดขึ้นปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
แรงที่สอง การส่งผ่านนโยบายการเงินช่วงก่อนหน้าหรือการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับสูงสุดเมื่อปลายปี 2567 ที่ 2.50%สู่ระดับปัจจุบันที่ 1.50%ซึ่งช่วยลดภาระดอกเบี้ยของผู้กู้และสนับสนุนการขยายตัวของสินเชื่อในอนาคต นอกจากนี้คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในรอบการประชุมธันวาคมนี้ สู่ระดับ 1.25% ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม นอกจากนี้คาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะร่วมมือกับกระทรวงการคลัง ดูแลปัญหาหนี้ครัวเรือนเพื่อช่วยผู้มีรายได้น้อยสามารถบริหารกระแสเงินหมุนเวียนและกลับมาจับจ่ายใช้สอยได้ดีขึ้น แต่ต้องระมัดระวังว่ามาตรการต่างๆ นี้จะไม่ส่งเสริมให้คนหันกลับไปก่อหนี้จนเกินตัวอีกหรือเปิดช่องให้ผู้กู้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้แต่กลับใช้โอกาสนี้หาประโยชน์ในการลดหนี้
นายอมรเทพ กล่าวว่า ความเสี่ยงเศรษฐกิจไตรมาส 4มาจากปัจจัยต่างประเทศผ่านการส่งออกและการท่องเที่ยวซึ่งกระทบภาคการลงทุนของไทย โดยความเสี่ยงแรก คือ การส่งออกสินค้าที่กำลังจะพลิกมาติดลบในช่วงไตรมาส 4 นี้แม้ตัวเลขส่งออกล่าสุดเดือนกันยายนจะขยายตัวได้ดี ทั้งที่เป็นช่วงสหรัฐจัดเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าไทยในอัตรา 19%แต่ส่วนหนึ่งมาจากคำสั่งซื้อไว้ก่อนแล้วและคาบเกี่ยวอยู่ในช่วงผลิตและขนส่งอีกส่วนมาจากสินค้าจากไทยที่แม้ถูกจับเก็บภาษีเพิ่มในอัตรา 19%แต่ยังนับว่าถูกกว่าสินค้าที่ผลิตในสหรัฐหรือสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากจีนจึงยังพอให้มีความต้องการสินค้าอยู่บ้าง หรือมีการทะลักของสินค้าจีนผ่านไทยเพื่อส่งออกไปสหรัฐแต่ต้องระวังการส่งออกช่วงต่อจากนี้ ที่อาจพลิกกลับมาหดตัวและอาจลากยาวไปถึงช่วงกลางปีหน้านั่นเพราะสหรัฐเองได้สต็อกสินค้าก่อนมาตรการภาษีไว้มากและจำเป็นต้องเร่งระบายสินค้าคงคลังก่อนนำเข้าสินค้าใหม่
นอกจากนี้ เชื่อว่าความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนจะยังไม่ยุติ แม้มีข่าวดีในการพัฒนาด้านการเจรจาที่จีนจะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐแต่ด้วยสหรัฐต้องการแยกห่วงโซ่อุปทานภาคการผลิตกับจีนเพื่อลดความเสี่ยงในอนาคตสหรัฐอาจจำเป็นต้องหามาตรการกีดกันทางการค้าหรือลดทอนอำนาจทางเศรษฐกิจของจีนลง จนทำให้บรรยากาศการค้าโลกซบเซาลงหลังจากนี้ซึ่งไทยน่าจะเร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐเพื่อลดความเสี่ยงนี้ต่อเนื่องทั้งการเปิดตลาดให้สหรัฐส่งออกมาไทยได้เสรีมากขึ้นและเจรจาในประเด็นการสวมสิทธิสินค้าจีนเพื่อป้องกันการถูกจัดเก็บอัตราภาษีที่สูงขึ้นในกรณี Transshipmentและเมื่อบรรยากาศการค้าโลกซบเซาอาจส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะจากจีนอ่อนแอลงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติก็มีแนวโน้มฟื้นตัวช้าลงเช่นกันซึ่งจะกระทบรายได้ภาคบริการอีกทอดหนึ่ง
ความเสี่ยงถัดมา คือ ภาคการลงทุน เมื่อการส่งออกหดตัวการผลิตก็มีแนวโน้มหดตัวตาม แม้จะมีการเร่งอนุมัติการลงทุนของ BOIแต่ก็ไม่อาจชดเชยความเสี่ยงด้านการลงทุนเพื่อการส่งออกที่หดตัวได้อีกทั้งให้จับตาการเร่งระบายสินค้าจากจีนเข้ามาไทย ที่จะกระทบการผลิตในประเทศโดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่ขาดความสามารถในการแข่งขันนอกจากการลงทุนด้านเครื่องจักรแล้ว ความเสี่ยงอีกด้านคือการลงทุนด้านการก่อสร้างที่ยังมีแนวโน้มซบเซาจากคอนโดที่ล้นตลาดและกำลังซื้อที่อ่อนแอขณะที่สถาบันการเงินยังเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเนื่องจากความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงอาจมีผลให้การออกโครงการใหม่เลื่อนออกไป
โดยสรุป เศรษฐกิจไทยช่วงไตรมาส 4 เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทายความหวังอยู่ที่มาตรการภาครัฐในการเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศ และให้ผู้บริโภคเร่งลงทุนและจับจ่ายใช้สอยมากกว่ารอคอยให้เกิดความชัดเจนทางการเมืองอีกทั้งแรงส่งจากมาตรการทางการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อลดภาระดอกเบี้ยและสนับสนุนการขยายตัวของสินเชื่อรวมทั้งมาตรการลดภาระหนี้ของผู้มีรายได้น้อยโดยไม่ก่อให้เกิดผลเสียด้านพฤติกรรมของผู้กู้และภาระทางการคลังระยะยาว
ส่วนความท้าทายอยู่ที่ภาคการส่งออกสินค้าของไทยที่เสี่ยงหดตัวหลังสหรัฐเร่งนำเข้าไปมากแล้วและจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่อาจประทุขึ้นอีกจนกระทบบรรยากาศการค้าโลกซึ่งบรรยากาศที่ซบเซาจะกระทบการลงทุนภาคเอกชนทั้งด้านเครื่องจักรและการก่อสร้างให้หดตัวได้ช่วงปลายปีนี้.

