LEO เปิดงบไตรมาส 3/68 รายได้รวมแตะ 346 ล้านบาท พร้อมส่งสัญญาณแนวโน้มผลงานโค้งสุดท้ายโตแกร่ง หลังภาษีนำเข้าสหรัฐชัดเจน เร่งสปีดธุรกิจ Non Freight และ Non-Logistics ต่อเนื่อง เดินหน้าลุยธุรกิจขนส่งทางราง ผลักดันอนาคตเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
12 พ.ย. 2568 - นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO)เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 (สิ้นสุด 30 กันยายน 2568) บริษัทฯ มีรายได้รวม 346 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3 จากไตรมาส 2/2568 โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ ในไตรมาส 3/2568 จำนวน 2.3 ล้านบาท
ปัจจัยที่มีผลกระทบกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มาจากสงครามการค้าและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าของประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงเดือนกรกฏาคมและสิงหาคม อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดังกล่าวเริ่มมีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นหลังจากที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่นับตั้งแต่เดือนกันยายนและเริ่มเห็นสัญญาณของการส่งออกของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกภูมิภาค สอดคล้องกับตัวเลขภาคการส่งออกของประเทศไทย ที่มีการขยายตัว 19% ในเดือนกันยายน 2568 และเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 48 เดือน
โดยบริษัทฯยังมีการเติบโตทางรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics อย่างต่อเนื่องและมีนัยสำคัญ การรับรู้รายได้จากการลงทุนและโครงการใหม่ทำให้รายได้เติบโตขึ้น และลดความผันผวนจากธุรกิจ Freight โดยเฉพาะรายได้จากการขนส่งทางรางที่บริษัทในกลุ่มมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 มีรายได้จากการขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มขึ้นร้อยละ 134 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัท LaneXang Express ซึ่งเป็นบริษัทร่วม สามารถทำรายได้ 9 เดือนแรกปี 2568 อยู่ที่ 31 ล้านบาท และบริษัท Sritrang LEO Multimodal Logistics ก็มีรายได้จากการขนส่งทางรางภายในประเทศ 165 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนปี 2568 นี้ ซึ่งทั้ง 2 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 2.5 เท่าเมื่อเทียบกับ 9 เดือนแรกของปี 2567
นอกจากนี้บริษัท YJC Depot Services ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์มีรายได้ในไตรมาส 3/2568 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2568 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 73 เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน และคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4/2568 ไปจนถึงปี 2569 เนื่องจากมีลูกค้าใหม่เข้ามาใช้อย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของธุรกิจ LEO Coldbotic ซึ่งเป็นศูนย์จัดเก็บและกระจายสินค้าอัจฉริยะสำหรับไวน์ก็มีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 4/2568 เนื่องจากมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นและเป็นช่วง High Season ของธุรกิจไวน์และร้านอาหารในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ และบริษัทก็จะเริ่มมีการรับรู้รายได้จากการให้บริการให้เช่า Power Bank จากบริษัทร่วมฯ LEO JITU ที่กำลังจะเริ่มให้บริการในไตรมาสที่ 4/2568 นี้ด้วย
“ภาพรวมการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics มีการเติบโตของรายได้ และเป็นไปตามเป้าหมาย โดยธุรกิจใหม่เหล่านี้เริ่มมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างรายได้ในระยะยาว เนื่องจากความไม่แน่นอนของธุรกิจหลัก ด้าน Freight ที่มีความผันผวนตามทิศทางของเศรษฐกิจโลกและอัตราค่าระวางเรือ บริษัทฯ จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการกระจายความเสี่ยง และเดินหน้าขยายธุรกิจในกลุ่ม Non-Freight / Non - Logistics ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และยังเป็นโอกาสในการสร้างรายได้และกำไรขั้นต้น ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักที่สนับสนุนการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน แต่เนื่องจากธุรกิจใหม่ๆ ของ LEO เป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนในทรัพย์สินและอุปกรณ์ค่อนข้างสูง และจำเป็นต้องใช้เวลาในการสร้างรายได้ให้ถึงจุด Breakeven ครอบคลุมค่าเสื่อมและดอกเบี้ยที่เกิดจากการลงทุน รวมถึงบางธุรกิจใหม่ก็จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการสร้างฐานลูกค้า” นายเกตติวิทย์ กล่าว
นายเกตติวิทย์ ได้เปิดเผยถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2568 ว่ามีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาคการค้าและการขนส่งระหว่างประเทศ โดยบริษัทฯ มั่นใจว่าธุรกิจจะสามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และจะเป็นอีกหนึ่งช่วงสำคัญที่ท้าทายและพิสูจน์ความสามารถในการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ของบริษัท
สำหรับทิศทางในปี 2569 บริษัทฯ เตรียมต่อยอดความร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในหลายประเทศ เพื่อขยายเส้นทางขนส่งไปยังตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในเอเชียและยุโรป ทั้งนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายธุรกิจโลจิสติกส์ข้ามแดน (Cross-Border Logistics) และ การขนส่งสินค้าทางรางระหว่างไทย–จีน เพื่อรองรับความต้องการที่
เพิ่มขึ้นจากลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมการค้า การผลิต และอีคอมเมิร์ซ ซึ่งกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในภูมิภาค บริษัทฯ มองว่าการเชื่อมต่อเครือข่ายการขนส่งทางรางจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งในระยะยาว พร้อมเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ไปยังตลาดจีนตอนใต้และยุโรปผ่านเส้นทางรถไฟสายจีน–ลาว ควบคู่กับการต่อยอดธุรกิจในเครือของ LEO ซึ่งเริ่มสร้างผลตอบแทนและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มธุรกิจ Logistics และ Non-Logistics รวมถึงบริการที่เกี่ยวเนื่องกับ Green Logistics และ ESG Focused เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจโดยรวม และขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
LEO ส่งมอบอาคารเรียนโครงการ 'โรงเรียนนี้ เพื่อน้อง โครงการที่ 6' จ.ตาก
คุณเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและพนักงานบริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO ร่วมกิจกรรมบูรณะซ่อมแซมอาคารเรียน และส่งมอบอาคารเรียนหลังใหม่ พร้อมอุปกรณ์การศึกษา ให้กับศูนย์การเรียนรู้ชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้าหลวง “บ้านทีมู” อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก
นายกฯ ตื่นสั่งสกัดสินค้านำเข้าไร้มาตรฐาน
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มุ่งยกระดับการดำเนินงานเพื่อคุ้มครองผู้ประกอบการและผู้บริโภคของไทย สกัดกั้นสินค้านำเข้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ละเมิดลิขสิทธิ์ และสินค้าผิดกฎหมายอย่างเคร่งครัด
พาณิชย์สั่งลุยอีคอมเมิร์ซปั้น SMEs สินค้าชุมชน OTOP ขายออนไลน์
คณะอนุกรรมการพาณิชย์อิเล็กทรกนิกส์ Big Data และอินฟลูเอนเซอร์เพื่อการค้า กระทรวงพาณิชย์ครั้งที่ 2 เห็นชอบแผน Quick Win ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวม 4 แผนงาน ตั้งเป้าส่งเสริม SMEs สินค้าชุมชน OTOP ขายออนไลน์ได้จริงไม่ต่ำกว่า 25,000 รายต่อปี ช่วยยกระดับความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรม พัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ส่งเสริมใช้อินฟลูเอนเซอร์เพื่อการค้า และพัฒนาปัจจัยสนับสนุนอย่างเต็มที่


