สร้างพลังองค์กรไม่แสวงหากำไรในสังคมไทย

เมื่อต้นเดือนมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาลจัดอบรมหลักสูตร “การบริหารองค์กรไม่แสวงหากําไรอย่างมีธรรมบาล” ครั้งที่ 12 ที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นรุ่นสุดท้ายของปี ซึ่งได้รับการตอบรับดีมาก มีผู้เข้าอบรม 37คน จาก 31 องค์กร แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะทํางานเพื่อส่วนรวมและพลังของภาคประชาชนที่ซ่อนอยู่ และถ้ารวมผู้เข้าอบรมตั้งแต่รุ่น 1-11 ที่มูลนิธิจัดที่กรุงเทพและขอนแก่น ซึ่งมีทั้งหมด 482 คน จาก 299 องค์กร พลังที่ซ่อนอยู่และความตั้งใจที่จะทํางานเพื่อส่วนรวมขององค์กรไม่แสวงหากำไรนั้นมีมหาศาล เป็นพลังที่สามารถช่วยประเทศแก้ปัญหาและเปลี่ยนสังคมในทางที่ดีขึ้นได้ นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้

ในทุกสังคม องค์กรต่างๆมีมากมาย แบ่งได้เป็นสามกลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกคือ องค์กรภาครัฐ กลุ่มที่สอง องค์กรภาคเอกชน และกลุ่มสาม องค์กรภาคประชาชน ได้แก่ มูลนิธิ สมาคม วัด ชุมชนท้องถิ่น สหกรณ์ วิสาหกิจเพื่อสังคม ซึ่งให้บริการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของคนในสังคมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ นี่คือ เซ็คเตอร์ที่สาม หรือ The Third Sector ของระบบเศรษฐกิจ ที่ไม่ใช่องค์กรภาครัฐหรือองค์กรภาคเอกชน แต่เป็นองค์กรภาคประชาชน หรือที่เรียกว่าองค์กรไม่แสวงหากำไร

ในประเทศไทย องค์กรไม่แสวงหากําไรมีขนาดค่อนข้างใหญ่และหลากหลาย เฉพาะมูลนิธิและสมาคมที่จดทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทยมีมากกว่า 32,836 แห่ง จำนวนวัดมีประมาณ 41,205 วัด โดยสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้กํากับดูแล จำนวนวิสาหกิจเพื่อสังคมมี 81,748 แห่งในปี 2565 นอกจากนี้ยังมี สหกรณ์ เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์การเกษตร รวมถึงชุมชนท้องถิ่น เมื่อรวมตัวเลขทั้งหมด จํานวนอาจมากถึงสองแสนองค์กรหรือมากกว่านั้น

แม้ความหลากหลายในรูปแบบจะมีมาก แต่เป้าประสงค์ขององค์กรไม่แสวงหากำไรเหล่านี้จะเหมือนกันคือ การทําเพื่อคนอื่น ทำเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่การหากําไรให้ตัวเองหรือผู้อื่น และบทบาทหน้าที่ของแต่ละองค์กรจะต่างกันตามพันธกิจที่แต่ละองค์กรมี แต่แม้พันธกิจจะต่างกันและหลากหลาย บทบาทหรือหน้าที่ขององค์กรไม่แสวงหากำไรจะไม่หนีสามเรื่องนี้

หนึ่ง เติมเต็มการให้บริการประชาชนส่วนที่ขาดในสังคม เช่น ดูแลเรื่องสุขภาพ อาหาร การมีที่พักพิง การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในยามยากโดยเฉพาะผู้ยากไร้ ผู้เจ็บป่วย เด็กเล็ก ผู้พิการ และผู้ประสพภัยพิบัติ

สอง ให้โอกาส ให้ความรู้ และระดมความคิดในสังคม เช่น ให้ทุนการศึกษา ให้ความรู้เกี่ยวกับการดํารงชีพเพื่อสร้างอาชีพ พัฒนาทักษะแรงงาน ค้นคว้าวิจัยเพื่อประโยชน์ของสังคม เช่น ยารักษาโรค และการรักษาไว้ซึ่งภูมิปัญญา ความรู้ท้องถิ่น ศาสนา ประเพณี และวัฒนธรรมที่ดีงามของสังคม

สาม ช่วยภาครัฐและภาคเอกชนในการแก้ปัญหา เช่น สมาคมการค้า อุตสาหกรรม สมาคมวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมการร่วมคิดร่วมทําของคนในสังคมเพื่อการเรียนรู้ที่สูงขึ้น หรือเพื่อช่วยประเทศแก้ปัญหาทั้งเรื่อง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข ทรัพยากรมนุษย์ สิทธิของประชาชน รวมถึงความสัมพันธ์กับต่างประเทศ

เห็นได้ว่า แม้งานหรือพันธกิจของแต่ละองค์กรไม่แสวงกำไรจะต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันของทุกองค์กรคือการทําเพื่อคนอื่น เพื่อส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อตัวเอง นี่คือจุดแข็งขององค์กรไม่แสวงหากำไร หรือเซ็กเตอร์ที่สามของประเทศ ที่องค์กรอื่นไม่มี และลองคิดดู ถ้าทุกองค์กรไม่แสวงหากําไรประสบความสำเร็จในการทําหน้าที่ สามารถบรรลุพันธกิจที่มีได้อย่างสำเร็จ ประโยชน์มหาศาลจะเกิดขึ้นกับประเทศและคนในประเทศ และสามารถเปลี่ยนสังคมในทางที่ดีขึ้นได้ นี่คือพลังที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเงื่อนไขสำคัญที่จะทําให้การทําหน้าที่ขององค์กรไม่แสวงกําไรและพันธกิจประสพความสำเร็จ คือการบริหารจัดการอย่างมีธรรมาภิบาล

ธรรมาภิบาล หรือความพร้อมที่จะทําในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศเรา เป็นปัญหาทั้งในภาคการเมือง ภาคราชการ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม เมื่อสังคมไม่พร้อมที่จะทําในสิ่งที่ถูกต้อง สังคมก็มีปัญหามาก ซึ่งลักษณะสําคัญของปัญหาธรรมาภิบาลในประเทศเรา โดยเฉพาะในภาครัฐ หมายถึงฝ่ายการเมืองและภาคราชการ คือ มักขาดความโปร่งใส ขาดความพร้อมที่จะให้ตรวจสอบ ขาดความรับผิดชอบในสิ่งที่ทํา รวมถึงขาดความมีเหตุมีผลในสิ่งที่ตัดสินใจ ผลคือสังคมไม่ได้การตัดสินใจที่ดีจากผู้ทําหน้าที่ นำไปสู่การใช้ทรัพยากรของประเทศที่ผิดพลาด ประเทศเสียโอกาส เกิดการทุจริตคอรัปชั่นรุนแรง กระทบความน่าเชื่อถือของประเทศ และการเติบโตของเศรษฐกิจ

หลังจบหลักสูตรอบรมที่เชียงใหม่ สถานีวิทยุ FM100 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขอสัมภาษณ์ผมถึงสาเหตุของปัญหาธรรมาภิบาลในประเทศเรา คําตอบผมคือ กลไกที่ทําให้ปัญหาธรรมาภิบาลและการทุจริตคอรัปชั่นในประเทศเรารุนแรงและแก้ยาก คือ ระบบอุปถัมภ์ โดยเฉพาะในภาคการเมืองและราชการ ระบบอุปถัมภ์เป็นเรื่องของการช่วยเหลือกันเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง ขณะที่ธรรมาภิบาลเป็นเรื่องของการทําหน้าที่อย่างถูกต้องเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของประเทศ ชัดเจนว่าสองเรื่องนี้ไปด้วยกันไม่ได้

ในประเทศเราปัจจุบัน ระบบอุปถัมภ์มีบทบาทมากในการปฏิบัติหน้าที่ของราชการและนักการเมือง มีอิทธิพลเหนือธรรมาภิบาล การรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมจึงถูกมองข้าม การทุจริตคอรัปชั่นรุนแรง เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข ทั้งโดยการสร้างความตระหนักในความสำคัญของธรรมาภิบาล การอบรมการทําหน้าที่อย่างมีธรรมาภิบาล และการบังคับใช้กฏหมายที่เข้มแข็ง

ในภาครัฐ การอบรมเรื่องธรรมาภิบาลมีการดําเนินการโดยหลายหน่วยงาน เช่น สถาบันพระปกเกล้า ปปช. กพร. ภาคเอกชนก็เช่นกัน การอบรมมีการผลักดันโดยหน่วยงานเช่น สํานักงาน กลต. ธนาคารแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์ และสถาบันส่งเสริมกรรมการบริษัทไทย สําหรับภาคประชาสังคม การให้ความรู้เรื่องการบริหารองค์กรไม่แสวงหากำไรอย่างมีธรรมาภิบาล ยังไม่มีใครดําเนินการหรือทําอย่างเป็นกิจลักษณะ มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาลจึงเสนอตัวทําหน้าที่นี้ โดยเริ่มจัดการอบรมปีที่แล้ว ซึ่งได้รับการสนับสนุนและการตอบรับที่ดีมาก เป้าหมายคือส่งเสริมการบริหารจัดการที่ดีในองค์กรไม่แสวงหากําไร เพื่อให้เป้าหมายขององค์กรประสบความสำเร็จ รวมถึงนำไปสู่ความร่วมมือของคนในสังคมที่จะช่วยกันทําในสิ่งที่ถูกต้อง

อย่างที่กล่าว เท่าที่ได้เห็นและสัมผัสจากการจัดอบรมช่วงปีครึ่งที่ผ่านมา แม้จํานวนผู้เข้าอบรมจะไม่มาก แต่ก็ทำให้เห็นถึงพลังของภาคประชาชนที่ซ่อนอยู่ ที่พร้อมทําในสิ่งที่ถูกต้อง ต้องการเห็นสังคมไทยดีขึ้น และพร้อมมีส่วนร่วมทําในสิ่งที่ดี เป็นพลังและความตั้งใจที่คนไทยทุกคนควรสนับสนุน ทั้งโดยเข้าไปร่วมขับเคลื่อนประเด็นที่คิดว่าสำคัญ การบริจาคเงินและเวลาช่วยงานองค์กรเหล่านี้ เพราะลึก ๆ แล้ว การมีส่วนร่วมคือการทําหน้าที่และแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาที่ประเทศมีในฐานะพลเมือง ร่วมกับคนอื่น ๆ แก้ไขปัญหาและทําให้สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งควรเป็นบทบาทหน้าที่ของคนไทยทุกคน

เขียนให้คิด

ดร. บัณฑิต นิจถาวร

ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

[email protected]

เพิ่มเพื่อน